เสียดายโอ้ว่าโฉมเฉลาเยาวลักษณ์
เสียดายศักดิ์อสัญแดหวา
จะระคนปนศักดิ์จรกา
อนิจจาพี่จะทำประการใด
จะคิดไฉนดีนะอกเอ๋ย
จะได้เชยชมชิดพิสมัย
พระเร่งร้อนร่านทะยานใจ
ดังเพลิงกาลผลาญไหม้ทั้งกายา
ฉุกใจได้คิดสิการแล้ว
ดังดวงแก้วตกต้องแผ่นผา
ร้าวระยำช้ำจิตเจ็บอุรา
ประหนึ่งว่าจะวายชีวี
แน่นอนถอนฤทัยใหลหลง
ถึงองค์บุษบายาหยี
ลืมสามสุดานารี
ภูมีสร้อยเศร้าโศกาลัยฯ
(จาก"อิเหนา"บทพระราชนิพนธ์ในพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
บทพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาบทนี้เป็น
ตอนที่ชอบมาก เรียกได้ว่าชอบและสะใจที่สุด
เป็นตอนที่อิเหนาคร่ำครวญถึงนางบุษบา
อิเหนานั้นเดิมทีได้หมั้นหมายกับนางบุษบา
ตั้งแต่เล็ก
ด้วยทั้งสองต่างก็เป็นวงศ์อสัญแดหวา
(วงศเทวัญ) แต่ว่าอิเหนาได้พบนางจินตหรา
ก่อนจึงหลงรักนางจินตราถึงขนาดปฏิเสธ
ไม่ยอมแต่งกับบุษบา จึงเกิดเป็นเรื่องราว
ถึงขนาดเกิดเป็นสงครามขึ้น
แต่ด้วยความที่อิเหนาเป็นพระเอก จึง
เป็นเหตุให้ต้องได้พบกับนางบุษบาซึ่งเป็น
นางเอกจนได้การพบกัน งานนี้นอกจากจะ
ทำให้อิเหนาต้องตกตะลึงพรึงเพริศในความ
งามของนางบุษบาแล้วก็ยังทำให้อิเหนา
เกิดความเสียดายที่นางบุษบาจะต้องแต่ง
ให้กับระตูจรกาที่สุดแสนจะขี้เหร่
แต่ยิ่งกว่าความเสียดายที่ต้องเสียนาง
บุษบาไปให้กับระตูจรกาผู้ที่มีรูปชั่วตัวดำ
ก็คือความเสียดายที่จะไม่ได้สมรักสมใคร่
กับนางบุษบา มันเป็นความเสียดายสองชั้น
ที่ทำให้อิเหนาแทบจะอัดใจตายไปในตอน
นั้นเลยทีเดียว
คำ "ฉุกใจได้คิดสิการแล้ว ดังดวงแก้ว
ตกต้องแผ่นผา ร้าวระยำช้ำจิตเจ็บอุรา
ประหนึ่งว่าจะวายชีวี" เป็นการบรรยายถึง
"ความเสียดาย" อย่างใหญ่หลวงของอิเหนา
ประมาณว่าเสียดายใจจะขาด
ท ซึ่งในตอนนั้นก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า
จะ "เสียดาย" ได้มากมายขนาดนั้นเชียวหรือ
เพราะก็เคยมีความรู้สึกว่าเสียดายอะไรต่ออะไรมามากมายหลายอย่างและมากมาย
หลายครั้ง
แต่ก็ไม่เคยรู้สึกสักครั้งว่าเสียดายปานใจ
จะขาดนั้นเป็นอย่างไรจึงคิดมาตลอดว่า ความ
รู้สึกเสียดายปานว่าจะขาดใจขนาดนี้ น่าจะ
เป็นเรื่องของกลอนพาไป เป็นการใช้คำให้มี
สัมผัสนอกสัมผัสใน เพื่อให้เขียนบทประพันธ์
ได้ไพเราะคล้องจองกัน แต่ก็ทำให้ได้เห็นถึง
ความรู้สึกของตัวละครในขณะนั้นได้อย่างชัด
เจน
เช่นกันกับในนวนิยาย หรือในภาพยนต์ไทย
หลายๆเรื่อง ที่แสดงถึงว่าที่พ่อตาที่เอาปืนไล่ยิง
พระเอกซึ่งแอบมาตั้งตนเป็นลูกเขยสำเร็จรูปด้วย
การที่แอบปีนหน้าต่างห้องนอนเข้ามาเจาะไข่แดง
ลูกสาวอันเป็นการหยามหน้าพ่อตาอย่างแรง
ซึ่งฉากในภาพยนต์ที่พ่อตาเอาปืนไล่ยิงพระ
เอกฉากนี้ สามารถเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครง
จากผู้ที่นั่งชมได้ทั้งโรงภาพยนต์ ในตอนนั้น
ยังเคยคิดอย่างสนุกสนานอยู่เหมือนกันว่า
"พ่อนางเอกนี่ตลกมาก จะเอาปืนมาไล่ยิ่งพระ
เอกทำไม นี่เขาเป็นพระเอกนะจะช้าหรือเร็ว
อย่างไรก็ย่อมต้องได้กับนางเอกอยู่ดี"
แต่ไม่ว่าจะเป็นบทพระราชนิพนธ์เรื่อง
อิเหนาก็ดี นวนิยายก็ดี หรือบางฉากใน
ภาพยนต์ก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นการรจนา เป็น
การประพันธ์การสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่าน
ผู้ชมได้รับความบันเทิงแบบไม่ต้องคิดให้มาก
อย่างฉากพ่อตาคว้าปืนมาไล่ยิงพระเอก
นั้น ผู้ชมก็อย่าคิดหาเหตุปัจจัยให้เสียเวลา
นะว่าที่จริงแล้วการกระทำของพระเอกตัวดี
ของเราเยี่ยงนี้ มันเป็นการกระทำที่ผิดต่อ
กฎหมายโดยเจตนา พระเอกตัวดีของเรา
นี่เองที่เป็นผู้ก่ออาชญากรรม เป็นคนที่เลว
ร้ายยิ่งกว่าโจรเสียอีก
เพราะโจรเค้ายังประกาศตัวอย่างโจ่ง
แจ้งว่า "ข้านี้เป็นโจร" ไม่ใช่หมาป่าใน
คราบผู้ดีแบบะเจ็บแค้น เสียดายลูกสาว
คนสวยที่ต้องเสียนวลให้กับพระเอกก่อน
ถึงเวลาอันเหมาะอันควร
ในระหว่างการชมภาพยนต์ถ้าคิดมาก
มายขนาดนั้น เราเองจะเป็นผู้ที่สูญเสีย
อรรถรสในการชมภาพยนต์ไป ผิดวัตถุ
ประสงค์ในการชมภาพยนต์เพื่อความ
บันเทิงไปเสียเปล่าๆ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ถ้าลอง
หันกลับมาคิดแบบว่า "ดูหนังดูละคร
แล้ว กลับมาย้อนดูตัว" เราจะรู้ว่า
"ความเสียดาย" มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ
ในชีวิตของเรา
ไม่ว่าจะพลาดไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้
ก็ทำให้เกิดความเสียดาย หรือสูญเสีย
สิ่งที่คิดว่ายังไม่อยากจะสูญเสียก็ทำ
ให้เกิดการเสียดาย
ความเสียดายที่เกิดขึ้นจะมีระดับที่
แตกต่างกันในแต่ละกรณี เสียดายนิด
หน่อย เสียดายน้อย เสียดายมาก เสีย
ดายแทบตาย เสียดายจนแทบจะฆ่า
คนอื่นให้ตายคามือ หรือเสียดายแทบจะ
ฆ่าตัวเองตัวตาย(ถ้ากล้าทำ)
ดังนั้นในขณะที่เราหัวเราะท้องคัด
ท้องแข็งไปกับฉากพ่อนางเอก ที่คว้า
ปืนยาวมาไล่ยิงพระเอกฐานที่แอบปีน
เข้าห้องเจาะไข่แดงลูกสาว นั่นอาจ
เป็นการแสดงออกถึงความหมายของ
ความเสียดาย ว่าผู้ที่เป็นพ่อตานั้นมี
ความเสียดายอยู่ในระดับที่สูงมาก
เพราะลูกสาวแสนสวยที่พ่อเฝ้าดูแล
ทนุถนอมดั่งดวงใจตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย
ต้องมาถูกริ้นไรไต่ตอมโดยที่พ่อยังไม่ทัน
ตั้งตัว เตรียมใจ ภาพเหตุการณ์อย่างนี้
เมื่อนำมาแสดงโดยใส่กิริยาท่าทางและ
ใส่เสียงของความสนุกสนานครื้นเครง
จึงสร้างความรู้สึกร่วมในการชมภาพยนต์
ได้เป็นอย่างดี
มันทำให้ผู้ชมภาพยนต์รู้สึกขบขันได้
รับความบันเทิงอย่างเต็มที่ ได้หัวเราะ
และผลิตสารแห่งความสุขให้หลั่งไหลไป
ทั่วร่าง สนุกสนานจนทำให้ลืมคิดไปว่า
เรื่องอย่างนี้หากเกิดขึ้นจริงๆ
ในชีวิตจริงๆ มันก็ไม่แน่นักว่า"โศก
นาถกรรม" อาจเกิดขึ้นมาแทนที่ "สุขนาถ
กรรม" ก็เป็นได้
เพราะว่าปัจจัยที่ประกอบขึ้นมาเป็น
มนุษย์นั้น มีความแตกต่างในทุกๆด้าน
เนื่องจาก "คน" เป็นสิ่งมีขีวิตที่เป็นยูนีค
(unique) คือ เป็นคนเดียวในโลกที่ใคร
ก็มาเลียนแบบได้ไม่เหมือนแม้จะทำการ
โคลนนิ่งกันออกมาตามวิทยาการสมัยใหม่
ก็ตาม
สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน
โดยสิ้นเชิงคือพฤติกรรมของมนุษย์เอง
ซึ่งพฤติกรรมทั้งหลายของมนุษย์เกิดจาก
พื้นฐานการอบรมเลี้ยงดููตั้งแต่เล็ก และ
การสั่งสมความรู้ความเข้าใจในสภาพที่
บุคคลนั้นๆเติบโตขึ้นมา จึงเป็นเหตุที่ทำ
ให้ระดับของความเสียดายในแต่ละคน
ไม่เท่ากันแม้จะมีความผิดหวังในเรื่อง
เดียวกันก็ตาม
"เสียดาย" ตามความหมายในพจ
นานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน
มีความหมายถึง "ความรู้สึกอยากได้ใน
สิ่งที่เสียไปพลาดไปให้กลับคืนมา เช่น
เสียดายแหวนเพชรที่หายไป หรือ
รู้สึกว่าพลาดโอกาสที่ตนควรจะมีจะ
ได้แต่กลับไม่ได้"
แสดงว่าความรู้สึกเสียดายจะมีได้กับ
สิ่งที่เราคิดว่า สิ่งที่เราเสียไป หรือ สิ่งที่
เราไม่ได้มาไว้นั้นเป็น"สิ่งเดียว" บนโลก
ใบนี้ที่ไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ได้อีกแล้ว
จึงอาจกล่าวได้ว่าความรู้สึกเสียดายจะ
มีได้กับสิ่งที่เราคิดว่า สิ่งที่เราเสียไป หรือ
สิ่งที่เราไม่ได้มาไว้นั้น เป็นสิ่งเดียวที่ไม่มี
สิ่งใดในโลกนี้มาแทนที่ได้
เพราะมีบ่อยๆที่คนซึ่งได้สิ่งที่คล้ายๆกัน
มาแทนแล้วยังคงพูดว่า "เสียดายที่ไม่ได้
ของสิ่งนั้นที่เคยคิดอยากจะได้"
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอจะพูดได้เช่นกันว่า
"ระดับของความเสียดายยังขึ้นอยู่กับว่า
สิ่งที่เสียไป หรือสิ่งที่ไม่ได้มานั้น เราได้
ให้คุณค่ากับมันไว้มากหรือน้อยเพียงใด"
จึงมักจะมีกรณีที่ กับสิ่งเดียวกันหรือ
ในสถานะการณ์เดียวกัน ขณะที่คนหนึ่ง
รู้สึกเสียดายใจจะขาด แต่อีกคนหนึ่งกลับ
ไม่ได้รู้สึกเสียดายไปด้วย และบางคนกลับ
รู้สึกขบขันกับความเสียดายของคนอื่น
เพราะเขามองว่าสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้น ไม่ได้
มีคุณค่าอะไรในชีวิตของเขาพอที่เขาจะ
รู้สึกเสียดายกับมัน
ความแตกต่างเหล่านี้จะว่าไปแล้วมัน
เป็นความแตกต่างกันที่คลาสสิค และประ
กอบกันขึ้นมาทำให้โลกใบนี้มีชีวิตชีวาไม่
น่าเบื่อ
เพราะหากว่าคนบนโลกใบนี้รู้สึกเสีย
ดายในสิ่งเดียวกันในระดับที่เท่ากันหมด
โลกใบนี้คงจะไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น และ
ขาดสีสรรไปถนัดใจ หรือไม่โลกใบนี้อาจ
จะลุกเป็นไฟทุกหย่อมหญ้าและคงจะวุ่น
วายไม่น้อย หากทุกคนบนโลกมีความเสีย
ดายมากมายถึงระดับสูงสุดจนเกินจะทำ
ใจเหมือนๆกัน
ความเสียดายมักจะทำให้ผู้คนเจ็บปวดได้
ไม่ตนเองเจ็บปวด ก็อาจจะทำให้คนอื่นต้อง
เจ็บปวด หรือไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่ได้ดูละคร
ที่นางอิจฉามักจะจ้องคอยจะแย่งผู้ชายของ
นางเอก เพราะความเสียดายอยากได้พระเอก
คนนั้นไปเป็นของตน
ความเสียดายแม้ว่าจะเป็นเพียงความ
เสียดายในระดับน้อย แต่ถ้าคนเราไม่รู้จัก
ที่จะปล่อยวางความรู้สึกเสียดาย ก็อาจ
เป็นไปได้ว่าความรู้สึกผิดหวัง ไม่สมหวัง
จากความเสียดาย จะสามารถสั่งสมจนทำ
ให้คนผู้นั้นตกอยู่ในภาวะคับแค้นใจได้
ดังนั้นความเสียดายต้องอาศัยการ
ทำใจ ระงับด้วย "ความมีสติ" และ "การ
ปล่อยวาง" ความมีสติรู้ในสิ่งที่ก่อให้เกิด
อารมณ์ของความ "เสียดาย" เรียกได้ว่า
"รู้ทัน"
สาเหตุของความเสียดายและรู้จักที่จะ
"ปล่อยวาง" ไม่ให้เกิดความรู้สึกคับข้อง
ใจแบบทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายผู้อื่น
หนัง ละคร เป็นการลอกเลียนแบบอย่าง
ของชีวิตผู้คน เหตุการณ์ที่พ่่อตาถือปืน
ไล่ยิงลูกเขยที่ทำตัวเป็นแมวขโมยแอบ
ปีนเข้าห้องลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจ
ของพ่อ ก็มีไม่น้อยในชีวิตจริงนั่นเป็น
เพราะพ่อตาอาจจะขาดสติ ไม่ทันได้
ไตร่ตรองว่า ความจริงนั้นลูกสาวก็โต
เป็นสาวแล้วหรือทุกสรรพสิ่งในโลก
"มีคู่ย่อมดีกว่าอยู่เดี่ยวๆ" และไม่ยอม
ปล่อยวางให้ได้ว่าความพึงพอใจในเพศ
ตรงข้ามก็ย่อมจะมีได้กับทุกผู้ทุกคน
อันเป็นเรื่องปกติที่สุดของคน ที่เป็น
ส่วนหนึ่งของสัตว์โลกย่อมต้องมีกันได้
ไม่ยอมทำใจให้ได้ว่าการมีคู่ครองของ
ลูกสาวไม่ได้หมายถึงการสูญเสียของ
ผู้เป็นพ่อ จะช้าหรือเร็วลูกสาวก็ต้องมี
คู่ครอง และถึงแม้วิธีการที่ได้เป็นพ่อตา
จะผิดจากรูปแบบที่ตนตั้งใจอยากจะเป็น
ก็ตามหากทำใจไม่ได้ ความรู้สึกเหมือน
"ดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผา" จะทำให้
ชตาชีวิตของพ่อตาและลูกเขยเป็น
อย่างไร?
Siriwan.Th