วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรมขึ้นอยู่กับอะไร?



     พูดถึงโมเดลสมรรถนะของข้าราชการ
พลเรือน ซึ่งกำหนดให้ข้าราชการต้องมี  
การดำรงตนและประพฤติปฎิบัติอย่างถูก
ต้องเหมาะสมทั้งตามกฎหมาย คุณธรรม 
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพและจรรยา
ข้าราชการ เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็น
ข้าราชการ  โดยกำหนดค่าสมรรถนะไว้
ห้าอย่าง

     และหนึ่งในนั้นคือสมรรถนะตัวที่ 4 ที่
ให้ ข้าราชการต้องมีความถูกต้อง ชอบธรรม
และจริยธรรมอยู่ในระดับแห่งการคาดหวัง 
ซึ่งแบ่งเป็น  5 ระดับ

     แต่ละระดับจะมีความยากขึ้น หมายความ
ว่า ข้าราชการระดับปฎิบัติการ อยู่ในระดับ
แรก และระดับที่สูงถึงขั้นผู้บริหารจะต้องอยู่
ในความคาดหวังระดับห้า

     ความหมายของระดับของความคาดหวัง
     ระดับ 0 : ข้าราชการผู้นั้นไม่แสดงสมรรถนะ
ในด้านนี้คือ ไม่ได้แสดงออกว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ยึด
มั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
   
     ระดับ 1 : มีความสุจริต เช่นปฎิบัติหน้าที่
ด้วยความสุจริตแสดงความคิดเห็นตามหลัก
วิชาชีพอย่างสุจริต
         
     ระดับ 2 : มีความสุจริตตาม 1 และยังต้องมี
สัจจะเชื่อถือได้คือ รักษาคำพูดแสดงให้ปรากฎ
ถึงความมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ
         
     ระดับ 3 : ต้องมีระดับ 1 2 และยังต้องมีการ
ยึดมั่นในหลักการ คือ ยึดมั่นในหลักการจรรยา
บรรณแห่งวิชาชีพ  และจรรยาข้าราชการ ไม่
เบี่ยงเบนด้วยอคติหรือผลประโยชน์เสียสละ
ความสุขส่วนตน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทาง
ราชการ
        
     ระดับ 4 : ต้องมีระดับ 1  2  3 และยังต้อง
ยืนหยัดในความถูกต้อง มุ่งพิทักษ์ผลประโยชน์
ให้ทางราชการ  ปฎิบัติหน้าที่ราชการด้วยความ
ถูกต้อง เป็นธรรม
        
     ระดับ 5 : ต้องมีระดับ 1  2  3  4  และยัง
ต้องอุทิศตนเพื่อความยุติธรรม ยืนหยัดพิทักษ์
ผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศชาติแม้
ในสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อความมั่นคงใน
ตำแหน่งหน้าที่การงานหรืออาจเสี่ยงภัยต่อ
ชีวิต
(ข้อมูลจากคู่มือสมรรถนะหลักฯในข้าราชการ
พลเรือน)

     ด้วยหลักการนี้ แม้จะเป็นสมรรถนะเพียง
ข้อเดียว หากว่าข้าราชการผู้ใดทำได้ นั่นย่อม
ต้องสร้างความยอดเยี่ยมและสุดยอดในวง
ราชการเป็นอย่างมาก
     
     เพราะเขาจะเป็นข้าราชการในอุดมคติ 
และ่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ
      
     แต่น่าเสียดายที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น 
เพราะแม้ว่าหลักการจะยอดเยี่ยม แต่ผู้ปฎิบัติ
ไม่สามารถทำให้หลักการที่ยอดเยี่ยมนี้ทะยาน
สู่ความสำเร็จได้ตามที่คาดหวัง
     
     เพราะปัจจัยสำคัญที่ว่าผู้ปฎิบัติเป็นมนุษย์ 
ที่หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นธรรมดา
โลก จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครมองใครด้วย
สายตาที่ไม่เอนเอียง
     
     ดังนั้นสมรรถนะที่ตั้งไว้แม้จะเป็นหลักการ
ที่ดี  แต่พฤติกรรมของมนุษย์เอง พาลทำให้
หลักการนี้กลายมาเป็นเครื่องมือที่สร้างความ
สุขให้กับใครเพียงบางคน และสร้างความขม
ขื่นใจให้กับใครอีกหลายๆคน
     เพราะมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้เอง ความเป็น
สัตว์สังคมทำให้พวกเขาต้องพยายามยึด
พรรคยึดพวกเอาไว้ การยึดพรรคยึดพวก 
ทำให้พวกเขามองเห็นแต่คนในกลุ่มของ
ตัวเอง
     
     เห็นแต่ความเลิศเลอของพรรคพวกตน
เอง จนเขาไม่เคยเห็นว่าคนนอกกลุ่มของตัว
เองมีการปฎิบัติตนตามหลักการ หรือยึดมั่น
ในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรมของ
ข้าราชการ และมีผลการปฎิบัติงานได้เป็นที่
น่าพึงพอใจ หรือไม่น้อยหรือมากเพียงใด
     
     เขาจึงใช้เครื่องมือนี้เพียงเพื่อการส่งเสริม
พรรคพวกของตนเอง หรือคนที่ตนพึงพอใจ 
เช่นการลดคะแนนความถูกต้องชอบธรรมและ
จริยธรรมต่ำกว่าระดับความคาดหวังเพื่อจะได้
มีคะแนนเพิ่มให้คนที่ตนอยากจะให้โดยไม่สนใจ
ที่จะมองความเป็นจริง ถึงการปฎิบัติตนของผู้นั้น
ว่า เขาไร้ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
"ต่ำ" จริงหรือไม่

     ความจริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันทั่วไป
อยู่แล้วในวงการการทำงานเรื่องนี้คงเป็นความ
ยุติธรรมแล้วในสายตาของผู้คิดค้นหลักการนี้
ขึ้นมา
     
     อีกทั้งยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ
ผู้ให้คะแนน ที่พอใจจะให้คะแนนคนในกลุ่มของ
ตัวเองอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องเกิดความรู้สึก
ตะขิดตะขวงใจอันใด
     
     แต่เรื่องนี้อาจจะทำให้หลายคนที่บังเอิญไป
รู้ว่า คะแนน "ห่วย" เพราะส่วนหนึ่งตนถูกประเมิน
ว่า "เป็นคนไร้ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
ต่ำ" จะรู้สึกว่าตนเองถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น
     
     สำหรับผู้ที่ต้องผิดหวัง "ทุกปี" เพราะคะแนน
ที่ "ห่วย" เขาย่อมรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่า เขา"ห่วย" 
อย่างที่ถูกประเมิน หรือไม่
     
     สำหรับผู้ที่ท้อแท้กับระบบเช่นนี้ ก็อยากให้
ทราบว่า "คุณค่าและศักดิ์ศรีของคนเรา ไม่ได้อยู่
ที่การตัดสินของคนอื่น"
     
     แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองแต่เพียงผู้เดียว ที่จะบอก
กับตัวเองว่าในสถานการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเช่นนี้  
มันทำลายศักดิ์ศรีของเราจริงหรือไม่ เพียงใด
     
     หากเปรียบงานของเราเหมือนกับนกป่าใน
อุ้งมือ นกป่าจะไม่ขับร้องเพลงที่ไพเราะ เพราะ
ความตื่นกลัว

     แต่หากเราเอาใจใส่เลี้ยงดูนกป่าตัวน้อยใน
อุ้งมือเราเป็นอย่างดี ตั้งอกตั้งใจดูแลใส่ใจและ
ให้อาหาร ไม่นาน นกป่าที่ตื่นกลัวในมือของเรา
ก็จะเริ่มร้องเพลงที่ไพเราะ
     
     และเสียงที่ไพเราะมีความสุขนี้ก็จะเรียกร้อง 
ดึงดูดให้นกป่าตัวอื่นๆเข้ามาหาเราและนกในมือ
ของเราอย่างสนใจ  ว่าเราทำอย่างไรนกป่าในมือ
จึงร้องเพลงได้อย่างมีความสุข
     
     ซึ่งก็คือหากเราปฎิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบ
อย่างตั้งใจ  เต็มใจ เราจะเปล่งประกายในงานที่ทำ 
ประกายนี้จะทำให้คนอื่นๆได้รู้และได้เห็น
     
     เช่นนี้แล้วเพียงคะแนนที่แย่ๆ ไหนเลยจะดับ
รัศมีของเราได้  เพราะว่า...

     "ไม่มีใครสามารถเลี้ยงนกในมือคนอื่นให้ร้อง
เพลงได้  นกอยู่ในมือใครเขาคนเดียวเท่านั้นคือ
คนที่จะเลี้ยงนกตัวนั้นให้ร้องเพลงที่ไพเราะให้เขา
และคนอื่นๆได้ฟัง"
     
     เช่นเดียวกับการทำงาน ไม่มีใครทำให้งาน
ของคนอื่นโดดเด่นได้ ต่อให้ได้ผลคะแนนเต็ม
ร้อยก็ตาม
     
     เขาคนนั้นต้องทำงานของเขาเองให้ดีด้วย 
มิเช่นนั้น ผลพิสูจน์ในเรื่องนี้มันจะแสดงตัวออก
มาเอง  แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องใส่ใจ ว่า
ใครจะเป็นอย่างไร
     
     "นกในมือของเราต่างหากที่น่าสนใจ ทำ
ให้มันร้องเพลงที่ไพเราะเพื่อตัวเราเองดีกว่า"
     
     ปฎิบัติงานในหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ดำรงตน
อยู่ในความสัตย์ความดี  และภาคภูมิใจในศักดิ์ศรี
แห่งตน และแน่ใจว่าตนเองมีความถูกต้องชอบธรรม
และมีจริยธรรมสูงพอที่จะเป็นข้าฯรับใช้ในพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว 
     จงพอใจกับผลงานของตนเองที่ได้ทำไว้ ดังพระ
ราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
แก่ผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติงานของตนอย่างดีแล้ว
     
     ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบแทบเบื้องพระบาท
รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ทั้งจักจารึกไว้เป็นสัจจะธรรม 
ในการดำรงชีวิตและเพื่อใช้ในการปฎิบัติงาน ตาม
หน้าที่ต่อไป

    น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ตราบนิจนิรันด์
          จะเดินตามรอยเท้า ของพ่อด้วยความตั้งใจ...
          จะเติมเต็มความหมาย..ข้าราชการที่ดี...
          ทดแทนคุณให้พ่อหลวงและแผ่นดิน...
          
                                              S.Th
                                         28 ตค. 58