วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เราเป็นอย่างที่เราคิด?


คนเราจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด
คนเราสื่อสารกับตัวเองตลอดเวลา
เทคนิคของการสื่อสารกับตัวเอง
พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ไม่พูดในสิ่งที่เราไม่อยากเป็น
เราเป็นอย่างที่เราคิด?
บางคนอาจบอกว่ามันไม่จริง...
บางคนอาจบอกว่ามันไม่เสมอไป...
บางคนอาจบอกว่าคิดอย่างหนึ่ง
กลับไปได้อีกอย่างหนึ่ง...

     เรื่องเล่าของเพื่อนวัยเยาว์ที่
กลับมาพบหน้ากันใหม่ ตอนเรียน
ในชั้นประถม เธอเรียนไม่เก่งเลย

     เธอเป็นคนที่ฉลาด มีไหวพริบ
ดีมาก แต่เธอเรียนไม่เก่ง...

     เธอบอกว่า แม่เธอไม่ได้เรียน
มาสูง แต่ขยันขันแข็งในการทำ
มาหากิน แม่เธออยากให้เธอเรียน
สูงๆ 

     เมื่อครั้งประถมต้นเธอให้แม่
ตรวจทานการบ้าน เธอคิดเลข
ผิดไปข้อเดียว แม่เธอมองหน้า
เธอแล้วพูดว่า 
"ลูกไม่ได้โง่นะ ทำไมถึงทำการ
บ้านผิด" (ผิดไปตั้งข้อหนึ่ง)

     ความนัยครั้งนั้นเป็นการตำหนิ 
เธอจำได้แม่นยำถึงคำพูดของแม่ว่า 
เธอไม่ใช่คนโง่
แต่เธอรู้ดี รู้อยู่เต็มอกว่าเธอทำการ
บ้านผิดไปตั้งหนึ่งข้อ เธอโง่ใช่หรือ
ไม่ตามที่แม่พูด

     ย่างเข้าวัยมัธยม เพื่อนๆทุกคน
รู้ดีว่าเธอเธอเป็นนักเรียนที่เรียน
"บ๊วย" ที่สุดในชั้น เพื่อนบางคนช่วย
เธอเรื่องเรียน บางคนล้อเลียนเธอ
เรื่องความหัวทึบ 

     เธอมักจะบอกเพื่อนๆตลอดว่า 
"กูไม่ได้โง่นะ" (แต่เธอก็ต่อท้ายใน
ใจทุกครั้งว่า กูทำการบ้านผิดไป
ตั้งข้อนึง)

     วันนี้เจอเพื่อนคนนี้ เธอสวย เธอ
แจ่มใส ท่าทางมั่นใจ เธอเป็นเจ้าของ
โรงงานทำกระเป๋า ส่งออกนอก ราย
ได้ต่อปีมากโขอยู่

     เธอเล่าว่า เธอไม่ได้เรียนต่อมหา
วิทยาลัย เพราะเธอเคยคิดว่าเธอโง่ 
การที่เธอเที่ยวประกาศว่าเธอไม่โง่ 
คือการยอมรับและให้ข้อสรุปกับ
ตัวเองไปแล้วว่า เธอนั้นโง่  เธอจึง
ไม่ยอมเรียนต่อ 

     เธอไปทำงานเป็นเสมียนในโรง
งาน ได้เงินเดือนน้อยนิดความรู้อัน
น้อยนิดของเธอ 

     เจ้าของโรงงานเป็นคนจีนมาจาก
เมืองจีน เขาชมเธอเสมอว่าเธอเก่ง
เกินกว่าที่ตัวเองคิด 

     จากเสมียนพิมพ์ดีดเธอเริ่มลง
บัญชี เธอไม่เคยทำพลาด

     เขาส่งเธอไปอบรม สัมมนาบ่อย
ขึ้น เขาบอกเธอว่าเขาโชคดีที่ได้เธอ
มาช่วยงาน เธอเก่ง เธอซื่อสัตย์

     และเธอเริ่มรู้ตัวว่า ความจริงแล้ว
เธอเก่ง เธอเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า 
เธอเป็นคนเก่ง เธอสมัครเรียนมหา
วิทยาลัยที่ไม่ต้องสอบเข้า เธอใช้เวลา
สามปีครึ่งเรียนจบ พร้อมๆกับทำงาน
ไปด้วย เธอลงเรียนต่อปริญญาโท 
และปริญญาเอกในเวลาต่อมา 

     เมื่อสี่ปีที่แล้วเจ้าของโรงงานจะ
กลับไปอยู่กับลูกของเขาที่เมืองจีน 
เขาบอกขายโรงงานให้เธอในราคา
กันเอง เธอเอาเงินที่เก็บรวบรวมไว้
เซ้งโรงงานนั้นมาเป็นของเธอ

     ก่อนที่เราจะจากกันเธอบอกว่า 
"คนเราเป็นอย่างที่ตัวเองคิด ฉันเคย
โง่เพราะเคยคิดว่าตัวเองโง่ ตอนนี้ฉัน
คิดว่าฉันทั้งฉลาดทั้งเก่ง ฉันเป็นเจ้า
ของโรงงานและจบด๊อคเตอร์
ทุกอย่างที่เราเป็น เรามี ในวันนี้ 
เพราะเราเรียกหามันเอง
     จากความคิดของแกเองก็
เหมือนกัน คิดให้ตัวเองผอมเสียที
แทนที่จะคิดว่าแกจะต้องผอม
(ไปโฟคัสที่ความอ้วน=คิดในสิ่งที่
ไม่ต้องการ)
มันเหมือนกับฉันเมื่อก่อนไง ที่คิด
ว่า "ฉันไม่ได้โง่นะ"
(ไปโฟคัสที่ความโง่=คิดในสิ่งที่ไม่
อยากเป็น)


       
       

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คนเดียวในดวงใจ...?


     ความจริงแล้วไม่เคยมีใครที่จะเข้า
ไปแทนที่คนอื่นในจิตใจของใครได้
และไม่เคยมีใครเข้าไปเติมเต็มความ
รู้สึกเสียใจที่ใครเคยได้รับได้

     คนเราไม่สามารถลืมอดีตได้ เพราะ
มันซึมลึกไปอยู่ทุกอณูของร่างกาย

     เมื่อใดก็ตามที่เขาได้พบเจอกับเหตุ
การณ์คล้ายๆกันกับที่เขาเคยเจอ
มันอาจฉุดดึงเขาเข้าสู่อารมณ์ที่เคย
เกิดขึ้นมาก่อนในอดีต อย่างช่วยไม่ได้
เช่น ถ้าเขาได้ยินเพลงเก่าๆที่เคยฟัง
กับคนเก่าๆ เขาอาจถูกดึงกลับไปใน
ช่วงวันวานที่ยังหวานอยู่กับคนเก่าๆนั้น
โดยไม่ได้ตั้งใจ

     ถ้าเขาคิดถึงอดีตของเขา แต่เขา
"เลือก" ที่จะปล่อยวางให้มันอยู่ตรงนั้น 
เพราะอดีต ก็เป็นเพียงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมา...
เท่านั้น 

     ถ้าเขาวางอดีตลงได้ และปล่อย
ความรู้สึกต่างๆที่เคยเกิดขึ้นออกไปได้
โดยการเก็บแต่บทเรียนจากเรื่องนั้นๆ
ไว้แทน

     อดีต ก็จะเป็นเพียงฉากในภาพยนต์
บางเรื่องที่เคยดู ที่ทำให้แวบเข้ามาใน
ความคิดครู่หนึ่งแล้วก็จะเลือนหายไป



     อดีตก็คืออดีต มันเคยเกิดขึ้นไปแล้ว 
ณ ปัจจุบัน มันก็เป็นอะไรที่จบลงไปแล้ว 
มันเป็นเพียงเรื่องเก่าๆกับคนเก่าๆ...เท่านั้น

     คำว่าคนเดียวในดวงใจ ในความหมาย
นี้  ก็คือ
  "คนเดียวในเวลานี้ คนเดียวในปัจจุบันนี้"
ไม่ได้หมายความรวมถึง การทีเขาจะลืม
คนเดียวในดวงใจ "ในอดีต" ของเขาไป
ได้

     ดังนั้น เมื่อไม่มีใครสามารถแทนที่ใคร
ด้ ก็จงพอใจที่ได้เป็นปัจจุบันของใคร
บางคน น่าจะดีกว่าจะมากังวลกับอดีต
ของเขา

     เราไม่สามารถ ห้าม ไม่ให้ใครคิดถึง
อดีตของเขาได้ เพราะสิ่งนั้นมันซึมอยู่ใน
เลือดเนื้อ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน

     ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญ มีความสุขกับ
ปัจจุบันดีกว่า ลองคิดดู...

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คุณรักตัวเองหรือรักคนอื่นมากกว่ากัน


คุณรักตัวเองหรือรักคนอื่นมากกว่ากัน
     คำถามยอดฮิตจากควิชยอดดัง

     ผู้ที่ทำควิซถ้าได้รับคำตอบว่า เขา
รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง มันจะทำให้เขา
รู้สึกว่า ตัวเองเป็นบุคคลที่ควรยกย่อง 
หรือไม่?

     ผู้ที่ได้รับคำตอบว่า รักตัวเองมาก
กว่าคนอื่นมันจะทำให้เขารู้สึกว่าคนอื่น
จะมองว่าตัวเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่าง
มากที่รักแต่ตัวเอง ไม่รักคนอื่น     

     มนุษย์เราให้คำนิยามความรักไว้มาก
มาย ผู้ที่สมหวังก็นิยามถึงความสุข ผู้ที่
ผิดหวังก็จะนิยามถึงความทุกข์ และยัง
นิยามความรักตัวเองของผู้คนว่าเป็น
ความเห็นแก่ตัว

     คนเห็นแก่ตัวที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มักจะ
เป็นคนที่ทำทุกข์อย่างเพื่อตอบสนองต่อ
ความต้องการของตนเอง โดยไม่สนใจว่า
สิ่งที่ตนเองทำจะนำความทุกข์มาให้กับ
ผู้อื่นหรือไม่ 

     นั่น ต่างจากความรักตัวเองอย่างมาก

     รักคนอื่นมากกว่าตัวเองแล้วเป็น
อย่างไร
รักตัวเองมากกว่าคนอื่นแล้วเป็นอย่างไร
คำถามออกจะวกวนเหมือนคำถามโลก
แตกที่ว่าไก่กับไข่อย่างไหนเกิดก่อนกัน

     แต่ความจริงที่แน่นอนคือ 
"คนเราจะไม่สามารถรักคนอื่นได้ถ้าไม่
รู้จักรักตัวเอง"

     ความรักที่คนเรามีให้กับตัวเองและมี
ให้กับคนอื่น ความจริงมันเป็นความรักที่
เดินควบคู่กันไป

     เราจะมีความปรารถนาดีให้กับใคร
ไม่ได้ ถ้าเราไม่มีความรักให้กับตัวเอง  
คนที่ไม่รู้จักรักตัวเองก็จะไม่รู้จักเช่นกัน
ว่ารักคนอื่นจะต้องทำอย่างไร

     การรักตัวเอง หมายถึง การเห็นในคุณ
ค่าของตัวเอง การยอมรับผิดชอบทุกสิ่งทุก
อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตว่า "เรา"  มีส่วนที่ทำให้
มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ร้อยเปอร์เซ็นต์ 
และรู้จักที่จะหาบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อ
พาตัวเองให้ออกจากปัญหาที่เกิดขึ้น ในชีวิต
ได้

     ถ้าคนเรารักตัวเองได้อย่างนี้ เขาก็จะ
สามารถรักคนอื่นและเห็นคุณค่าในตัวคนอื่น
ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไม่
ยาก และสามารถที่จะเอาตัวเองเข้าไปช่วย
เหลือผู้อื่นในยามที่คับขันได้เช่นกัน

     นั่นเป็นเพียงเพราะเขารักตัวเอง ไม่ได้
เป็นการรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง

     ความรักเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับพวกเรา 
มันเป็นคุณลักษณะที่อยู่ในตัวเรา
(Being in Love by OSHO )
เมื่อเรารักตัวเอง มันจะเปิดทางเลื่อนไหล 
ทำให้เรารักคนอื่นได้

     ดังนั้น อย่าถามว่าเรารักตัวเองมากกว่า
หรือรักคนอื่นมากกว่า แต่ขอถามว่า 
     วันนี้เราบอกรักตัวเองหรือยัง?"                      

#รักตัวเองเพื่อที่จะรักคนอื่นเป็น
#รักตัวเองก่อน
#รักตัวเองต่างกับการเห็นแก่ตัว