วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ไม่มีที่ยืนในสังคม
เป็นคนก็ว่าอยู่ยากแล้ว เป็นคนที่ใครก็เหม็น
หน้ายิ่งอยู่ยากกว่า เพราะคนเป็นสัตว์สังคม
เลยนึกว่าตัวเองมีสังคมอยู่แค่ สังคมเดียว
รู้หรือไม่ว่า เราสวมหมวกกี่ใบ (เรามีบท
บาทใน สังคมกี่บทบาท) เราก็มีสังคมตาม
จำนวนหมวก นั่นแหละ ไม่พอใจแบบไหนก็
เปลี่ยนได้เสมอ
สังคมไหน ไม่เสวนาด้วย เราก็ไปเสวนา
กลุ่มอื่น คนเราก็มี โชคดีตรงนี้ละ เปลี่ยนได้
แก้ไขได้ เดินทางไหนไม่เวิร์ค ก็เปลี่ยนทาง
เดินใหม่ ยึดติดให้เป็นทุกข์ไปไย
Be Happy!!! 🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶
ไม่มีที่ยืนในสังคม
คำๆนี้ฟังดูเหมือนจะร้ายกาจมากเสีย
เหลือเกิน หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็น
คำตัดสินประหาร ชีวิตของคนๆนั้นไปเลย
แต่เราลองมาดูความหมายของคำว่าสังคม
กันก่อน
สังคมตามความหมายในพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง คนจํานวนหนึ่งที่มี
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบกฎเกณฑ์
โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญร่วมกัน เช่น สังคมชนบท
วงการหรือสมาคมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น
สังคมชาวบ้าน
สังคมของมนุษย์เกิดจากกลุ่มบุคคลที่มีความ
สนใจร่วมกันไม่ว่าจะในด้านใด เช่น ประเทศ
จังหวัด และอื่นๆ
และมักจะมีวัฒนธรรมหรือประเพณีรวมถึง
ภาษา การละเล่นและอาหารการกินของตนเอง
ในแต่ละสังคม
จากความหมายเหล่านี้ หมายความว่า การ
จะเป็นสังคมนั้น จะต้องประกอบด้วยตั้งแต่สอง
คนขึ้นไปถึงขั้นมากมาย ตั้งแต่ระดับครอบครัว
ถึงระดับประชาคมโลก
ในสังคมหนึ่งๆจะประกอบด้วยผู้คนที่หลาก
หลาย ประกอบด้วยคนที่มีพื้นฐานต่างกัน แต่
อาจจะมีแนวคิดที่คล้ายกัน
การยึดมั่นในพื้นฐาน ที่สังคมกำหนดจึงมี
มากน้อยต่างกัน และอาจจะ ถึงขั้นแปลกแยก
แตกต่างจากคนอื่นๆในสังคม
ด้วยเหตุที่โลกใบนี้มีสังคมมากมายหลาย
ประเภท คนๆหนึ่งอาจเข้าไปอยู่ในสังคมได้
มากกว่าหนึ่ง
แม้ว่าใครคนหนึ่งจะทำเรื่องที่่ผิดใจคนส่วน
ใหญ่ในสังคม และเขาถูกคนส่วนใหญ่ในสังคม
นั้นประนามหยามเหยียด ก็หาใช่ว่าจะทำให้ใคร
คนนั้นถูกตัดจากโลกไปโดยสิ้นเชิงไม่
เพราะแม้สังคมหนึ่งจะไม่ชื่นชอบการกระทำ
ของเขา แต่อาจจะยังมีสังคมอื่นที่ชื่นชมและยก
ย่องการการทำของเขา
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าไม่มีที่ยืนในสังคมจึงเป็น
คำพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของ
ตนเอง เป็นคำพูดที่เกินจริงแลัทำให้ผู้อื่นต้องตก
เป็นเหยื่อ
หากผู้พูดเป็นคนอื่น ก็จะเป็นคำพูดที่ผู้พูด
เจตนาที่จะทำให้ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ตก
"เป็นเหยื่อ"
เป็นคำพูดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเกิด
ความรู้สึกผิดที่ไม่ยอมรับต่อพฤติกรรม ที่คน
ส่วนใหญ่นั้นไม่ชื่นชอบ
คนเราไม่ได้เป็นสังคม และสังคมก็ไม่ใช่
ใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนที่อยู่ในสังคม พึงจะ
ต้องยอมรับในกฎเกณฑ์ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ
และปฎิบัติ หากไม่เห็นด้วย เขาก็ยังสามารถที่
จะหาสังคมอื่นเพื่อเข้าไปร่วมสังคมนั้นได้
และในชีวิตจริงของแต่ละคน พวกเขาก็
ไม่ได้ คลุกคลีตีโมงอยู่แต่กับคนเพียงกลุ่มเดียว
สังคมของแต่ละคนจะมีมากมายและแตกต่างกัน
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องดึงดันที่จะอยากอยู่ใน
สังคมที่คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมต่างไปจากเรา
และเพราะว่าเราสามารถที่จะเลือกได้ว่าเรา
อยากจะอยู่ในสังคมแบบไหน หาสังคมใหม่ที่
ประกอบด้วยผู้คนที่เหมาะกับเราจะดีกว่า
เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง อยู่ในโลกใบนี้
และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
หาสังคมที่มีผู้คนที่มีความคิดใกล้เคียงกับเรา
อย่าดึงดันที่จะอบู่ในสังคมที่แปลกจากต่างเรา
แล้วมานั่งตัดพ้อต่อว่าด้วยคำพูดว่า
"คนในสังคมนั้นจะไม่ยอมรับพฤติกรรมของ
เรา และไม่ให้เราได้มีที่ยืนอยู่ในสังคมบ้างเลยหรือ"
"จะให้ไปอยู่ดวงจันทร์หรืออย่างไร?"
ขอบอกว่า หากจะไป
อยู่ในสังคมดวงจันทร์ก็ได้
โปรดศึกษาดูก่อนว่า มนุษย์
โลกพระจันทร์ เขามีแนวทาง
สำหรับจะ อยู่ในสังคมพวกเขา
อย่างไร จะได้ไม่ต้องมีเหตุให้ต้องตัดพ้ออีกว่า
"ไม่มีที่ยืนในสังคมโลกพระจันทร์"
ข้อคิดสำหรับวันนี้
"ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ถ้าอยาก
อยู่ในสังคมที่เขาไม่ยอมรับพฤติกรรม เดิมๆของ
เรา หรือ คบคนกลุ่มใหม่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมใกล้เคียงกับเราและยอมรับเรา
ได้จะดีกว่า ไม๊?"
Siriwan
14 พย. 59
#ไม่มีที่จะยืนในสังคม #ไปยืนบนดวงจันทร์
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
"โลกนี้ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่มีพฤติกรรม
ไม่ดีเท่านั้น" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรด่าใครว่า
"ไอ้เลว" ใช่มะ แต่ ให้ด่าว่า "ไอ้พฤติกรรม
ไม่ดี" แทน 😁😁😁
🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
มีคำกล่าวว่า "คนเราทุกคนเกิดมาเป็นคน
ดี ในโลก ใบนี้ไม่มีคนเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติ
กรรมไม่ดีเท่านั้น"
พฤติกรรมคือการปฎิบัติตนเช่นนั้นบ่อยๆจน
กลายเป็นความเคยชิน พฤติกรรมของมนุษย์
เกิดจากพื้นฐานความเป็นตัวตนของเขา ตั้งแต่
เขาอยู่ในครรภ์มารดา ยีนส์ที่ได้รับมาจาก บิดา
มารดา สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมา และ
สภาพสังคมที่พวกเขาคลุกคลี
เหล่านี้จะหล่อหลอมกระบวนการทางความ
คิดของพวกเขา นำไปสู่การมีพฤติกรรมต่างๆ
ของพวกเขา
ดังนั้นในตัวของบุคคลหนึ่งๆ เขาจะแสดง
ปฎิกิริยา ตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากประสบการณ์ที่ เขาเคยพบเห็นมาก่อน
และเก็บเป็นข้อมูลไว้
เพราะ ข้อมูลที่แต่ละคนมีนั้นต่างกัน การ
แสดงออกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างกันไป
ในสถานการณ์เดียวกัน คนเราจะมีท่าทีที่ตอบโต้
ต่อเหตุการณ์นั้นต่างกันไป
เช่นในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง พ่อพาลูกชาย
ไปซื้อของ ลูกชายในวัยซนเล่นซนเสียงดังผู้เ
ป็นพ่อพยายามจะปรามแต่ลูกชายยังคงทำ
เสียงดัง ผู้เป็นพ่อฟาดเพี๊ยะ ภาพนี้อยู่ในสาย
ตาของหลายคนที่อยู่บริเวณนั้น
หนุ่ม ก. มองภาพนั้นด้วยสายตาเฉยเมย
ไม่ได้ รับรู้อะไร
สาว ข. มองภาพนั้นอย่างเห็นด้วย เธอ
พยักหน้า เล็กน้อย รู้สึกว่าพ่อสั่งสอนลูก
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สาว ง. เธอถลึงตามองผู้เป็นพ่อคนนั้น
เธอรู้สึก เจ็บปวด เคียดแค้นที่เห็นเด็กถูกตี
คนสามคนมองเหตุการณ์นั้นด้วยมุมมอง
ที่มาจาก ข้อมูลที่พวกเขาเก็บไว้ คนที่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่มีครอบครัวเด็กเล็ก เล่นซน
การเห็นพ่อแม่ตีลูกอาจเป็นเรื่องปกติ
หรือจากประสบการณ์ที่อีกคนหนึ่งเคย
ได้รับมา เขาอาจจะเคยถูกลงโทษเช่นนี้
และรู้สึกว่าเขาไม่ได้ รับความยุติธรรม เมื่อ
เห็นภาพที่คล้ายกับประสบการณ์ ที่เขา
เคยได้รับ มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้กับ
เขา ทำให้เขาแสดงความเคียดแค้นต่อผู้
เป็นพ่อคนนั้น
เพราะเหตุนี้จึงได้มีคำพูดว่า ในโลกใบนี้
ไม่มีใครเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติกรรมไม่ดี
เท่านั้น
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามักจะพบ
แต่คนที่ ตัดสินคนอื่นอยู่เสมอๆ นั่นแสดงว่า
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นจากพื้นฐาน
ชีวิตของแต่ละคน
เรื่องนี้เป็นธรรมดาโลก และเรื่องนี้ก็ทำให้
โลกใบนี้ประกอบด้วยผู้คนที่น่าสนใจมากมาย
อยู่ร่วมรวมกันเป็นสังคมซึ่งมีขอบเขต กำหนด
ให้คนสามารถแสดงพฤติกรรมของตนได้อย่าง
อิสระเสรี โดยอยู่ในข้อบังคับที่ไม่เกินเลยจน
ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ของเขา
โดยเป็นข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันอย่าง
สงบสุข ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
การคิดต่างกันของคนในสังคม จะสามารถ
ทำ ให้ประเทศชาติมีการพัฒนาไปได้ หากการ
คิดต่างนั้นสามารถจรรโลงให้สังคมเกิดความ
สงบสุขและพัฒนาต่อไปได้
แต่หากว่าการคิดต่างนั้นผิดจากกฎข้อ
บังคับเพื่อ ความสงบสุขแห่งการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมที่คล้ายกัน คนที่ คิดต่างอาจพบเจอ
กับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างคาด ไม่ถึงได้
มนุษย์นั้นสามารถทำผิดได้ ข้อดีของการ
เป็นมนุษย์คือ พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยน
กระบวนคิดและปรับเปลี่ยนทิศทางของพฤติ
กรรมได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ
ดังนั้น คิดต่างคิดได้ แต่หากผู้ที่คิดต่าง
จากคนอื่นประสบผลที่เขาไม่ต้องการและเป็น
ปัญหาสำหรับตัวเอง เขาก็สามารถจะแก้ไข
ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมตัวเอง
ได้เสมอ ตลอดเวลา
คนเราทุกคนสามารถที่เปลี่ยนความคิด
และเปลี่ยน พฤติกรรมได้ตลอดเวลาที่ต้อง
การ ขึ้นอยู่กับ "การตัดสินใจ" ของแต่ละ
คนว่า ต้องการจะให้ชีวิต ของตนเองเป็น
อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็น
คนอย่างไร เขาเองจะต้องเป็นคนที่รับผิด
ชอบในผลที่เกิดขึ้น จากการตัดสินใจของ
เขาเอง
รับผิดชอบคือการปฎิบัติตนตามที่ได้
ตัดสินใจและยอมรับในผลที่เกิดขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แห่งตน เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไข
เพื่อตัวของเขาเอง
เราทุกคนต้องรับผิดชอบ "ผลลัพธ์"
ที่ได้จากการตัดสินใจของตนเอง
ไม่ดีเท่านั้น" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรด่าใครว่า
"ไอ้เลว" ใช่มะ แต่ ให้ด่าว่า "ไอ้พฤติกรรม
ไม่ดี" แทน 😁😁😁
🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
มีคำกล่าวว่า "คนเราทุกคนเกิดมาเป็นคน
ดี ในโลก ใบนี้ไม่มีคนเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติ
กรรมไม่ดีเท่านั้น"
พฤติกรรมคือการปฎิบัติตนเช่นนั้นบ่อยๆจน
กลายเป็นความเคยชิน พฤติกรรมของมนุษย์
เกิดจากพื้นฐานความเป็นตัวตนของเขา ตั้งแต่
เขาอยู่ในครรภ์มารดา ยีนส์ที่ได้รับมาจาก บิดา
มารดา สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมา และ
สภาพสังคมที่พวกเขาคลุกคลี
เหล่านี้จะหล่อหลอมกระบวนการทางความ
คิดของพวกเขา นำไปสู่การมีพฤติกรรมต่างๆ
ของพวกเขา
ดังนั้นในตัวของบุคคลหนึ่งๆ เขาจะแสดง
ปฎิกิริยา ตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากประสบการณ์ที่ เขาเคยพบเห็นมาก่อน
และเก็บเป็นข้อมูลไว้
เพราะ ข้อมูลที่แต่ละคนมีนั้นต่างกัน การ
แสดงออกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างกันไป
ในสถานการณ์เดียวกัน คนเราจะมีท่าทีที่ตอบโต้
ต่อเหตุการณ์นั้นต่างกันไป
เช่นในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง พ่อพาลูกชาย
ไปซื้อของ ลูกชายในวัยซนเล่นซนเสียงดังผู้เ
ป็นพ่อพยายามจะปรามแต่ลูกชายยังคงทำ
เสียงดัง ผู้เป็นพ่อฟาดเพี๊ยะ ภาพนี้อยู่ในสาย
ตาของหลายคนที่อยู่บริเวณนั้น
หนุ่ม ก. มองภาพนั้นด้วยสายตาเฉยเมย
ไม่ได้ รับรู้อะไร
สาว ข. มองภาพนั้นอย่างเห็นด้วย เธอ
พยักหน้า เล็กน้อย รู้สึกว่าพ่อสั่งสอนลูก
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สาว ง. เธอถลึงตามองผู้เป็นพ่อคนนั้น
เธอรู้สึก เจ็บปวด เคียดแค้นที่เห็นเด็กถูกตี
คนสามคนมองเหตุการณ์นั้นด้วยมุมมอง
ที่มาจาก ข้อมูลที่พวกเขาเก็บไว้ คนที่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่มีครอบครัวเด็กเล็ก เล่นซน
การเห็นพ่อแม่ตีลูกอาจเป็นเรื่องปกติ
หรือจากประสบการณ์ที่อีกคนหนึ่งเคย
ได้รับมา เขาอาจจะเคยถูกลงโทษเช่นนี้
และรู้สึกว่าเขาไม่ได้ รับความยุติธรรม เมื่อ
เห็นภาพที่คล้ายกับประสบการณ์ ที่เขา
เคยได้รับ มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้กับ
เขา ทำให้เขาแสดงความเคียดแค้นต่อผู้
เป็นพ่อคนนั้น
เพราะเหตุนี้จึงได้มีคำพูดว่า ในโลกใบนี้
ไม่มีใครเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติกรรมไม่ดี
เท่านั้น
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามักจะพบ
แต่คนที่ ตัดสินคนอื่นอยู่เสมอๆ นั่นแสดงว่า
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นจากพื้นฐาน
ชีวิตของแต่ละคน
เรื่องนี้เป็นธรรมดาโลก และเรื่องนี้ก็ทำให้
โลกใบนี้ประกอบด้วยผู้คนที่น่าสนใจมากมาย
อยู่ร่วมรวมกันเป็นสังคมซึ่งมีขอบเขต กำหนด
ให้คนสามารถแสดงพฤติกรรมของตนได้อย่าง
อิสระเสรี โดยอยู่ในข้อบังคับที่ไม่เกินเลยจน
ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ของเขา
โดยเป็นข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันอย่าง
สงบสุข ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
การคิดต่างกันของคนในสังคม จะสามารถ
ทำ ให้ประเทศชาติมีการพัฒนาไปได้ หากการ
คิดต่างนั้นสามารถจรรโลงให้สังคมเกิดความ
สงบสุขและพัฒนาต่อไปได้
แต่หากว่าการคิดต่างนั้นผิดจากกฎข้อ
บังคับเพื่อ ความสงบสุขแห่งการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมที่คล้ายกัน คนที่ คิดต่างอาจพบเจอ
กับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างคาด ไม่ถึงได้
มนุษย์นั้นสามารถทำผิดได้ ข้อดีของการ
เป็นมนุษย์คือ พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยน
กระบวนคิดและปรับเปลี่ยนทิศทางของพฤติ
กรรมได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ
ดังนั้น คิดต่างคิดได้ แต่หากผู้ที่คิดต่าง
จากคนอื่นประสบผลที่เขาไม่ต้องการและเป็น
ปัญหาสำหรับตัวเอง เขาก็สามารถจะแก้ไข
ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมตัวเอง
ได้เสมอ ตลอดเวลา
คนเราทุกคนสามารถที่เปลี่ยนความคิด
และเปลี่ยน พฤติกรรมได้ตลอดเวลาที่ต้อง
การ ขึ้นอยู่กับ "การตัดสินใจ" ของแต่ละ
คนว่า ต้องการจะให้ชีวิต ของตนเองเป็น
อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็น
คนอย่างไร เขาเองจะต้องเป็นคนที่รับผิด
ชอบในผลที่เกิดขึ้น จากการตัดสินใจของ
เขาเอง
รับผิดชอบคือการปฎิบัติตนตามที่ได้
ตัดสินใจและยอมรับในผลที่เกิดขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แห่งตน เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไข
เพื่อตัวของเขาเอง
เราทุกคนต้องรับผิดชอบ "ผลลัพธ์"
ที่ได้จากการตัดสินใจของตนเอง
วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันนี้คุณพูดกับตัวเองอย่างไร?
เขาเป็นคนเงียบๆ เขาเป็นคนช่างพูด พูดตลอดเวลาจนน้ำไหลไฟดับ คนสองคนนี้แตกต่างกันอย่างมากใช่หรือไม่?
บุคลิกภายนอกของคนทั้งคู่อาจมีความแตกต่างกัน ในด้านของการแสดงออกว่าเป็นคนเงียบๆหรือเป็นคนช่างพูด
แต่สิ่งที่เป็นจริงอยู่ภายในร่างกายของเขาทั้งคู่เหมือนกัน นั่นคือ เขาเป็นคนช่างพูด ศาสตร์ของ
NLP (Neuro Linguistic Programming) กล่าวว่า คนเราพูดกับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยเสียงและการพูดด้วยภาพ และมันน่าแปลกใจที่สุดว่าคนเรามักจะพูดกับตัวเองอย่างตำหนิติเตียนมากกว่าจะพูดชมเชยตัวเอง
หลายคนมีไอดอลประจำตัว ให้ชื่นชมความเก่งกล้า แต่เขากลับไม่เคยเห็นความเก่งกล้าของตนเอง ไม่เคยชื่นชมตนเองเลย
อย่างเช่นคนที่อกหัก คนอกหักจะมีพฤติกรรมที่เหมือนๆกันอย่างหนึ่งคือ "การตำหนิตนเอง"
เขาอาจจะด่าคนที่หักอกเขาแต่ผลสุดท้ายมักจะลงเอยด้วยการประนามตัวเอง่ที่ไม่สามารถรั้งคน
ที่เขา"คิดว่ารัก" ให้อยู่กับเขาได้
อกหักไม่ทำให้ตาย แต่คนอาจตายเพราะคิดว่าตัว อกหัก "อกหัก" ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยามว่า อกหัก คือ พลาดหวัง (มักใช้ในด้านความรัก)
อาการอกหักก็คือ อาการที่คนๆหนึ่งพลาดหวังในด้านความรัก อาการนี้ไม่มีรูปแบบตายตัวว่า
ต้องเป็นอย่างไร
มันเป็นจินตนาการล้วนๆของผู้คิดว่าตนเองอกหักและคิดจินตนาการว่าเขาจะต้องมีอาการเป็นอย่างไร
อาการภายนอกที่คนพลาดรักแสดงออกมาอาจจะแตกต่างกันตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล เช่นบางคนอาจจะฟูมฟายน้ำตา บางคนอาจจะกินเหล้าดับทุกข์ หรือบางคนอาจจะแสดงพฤติกรรม
ที่ตรงข้ามกับความรู้สึก เช่น ฮาเฮจนเกินเหตุ
แต่อาการสำคัญที่่คนที่อกหักพลาดรักจะต้องมีเหมือนกันหมดทุกคน เป็นอาการที่เกิดขึ้นภาย
ในตัวของพวกเขาเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะรู้สึกตัวเองหรือไม่ก็ตาม
นั่นคือ"การตำหนิตัวเอง" เช่น เรา"ไม่ดี" ตรงไหนเค้าถึงไม่รัก
เรา"ไม่สวย/ไม่หล่อ" ถูกใจเค้าหรือไง "เรามันแย่" เค้าเลยไปมีใหม่
สรุปคือ เราคนเดียว "ที่แย่ ที่ผิด ที่ไม่เอาไหน ที่ไม่ดีพอ ที่ยากจนเกินไป
...เราเลวร้ายที่สุดจึงทำให้คนไม่รัก ทำให้คนไม่สนใจ ทำให้เค้าทิ้งเราไป เรามันแย่....
อาการสำคัญนี้จะเกิดภายในตัวเขาคนนั้นแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
มันทำให้เขาแสดงออกถึงการฟูมฟาย การตัดพ้อ การเศร้าสร้อย และถ้า เขายังคงไม่เบื่อที่จะพูดเสียดแทงใจตัวเขาเอง
เขาก็อาจตายได้จากการที่คิดว่าการพลาดรักของเขาเกิดจากความ "แย่" ของเขาเอง
คนเรามักจะพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับคนอื่น เรียกกันว่า Self talk แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อยที่ สิ่งที่เราบอกกับตัวเองแทบทุกวันส่วนใหญ่มักจะเป็นการตำหนิตัวเอง เหตุใดในขณะที่เราชื่นชมยกย่องคนอื่น เรากลับกดขี่ ข่มเหงด้วยการดุว่าตัวเองทุกวัน
ศาสตร์ในยุคใหม่บางแขนง จึงได้มีการแนะนำให้มีการคิดเชิงบวก เพื่อจะได้พูดกับตนเองใน
สิ่งที่ดีๆ เพื่อโปรแกรมสมองและจิต (NLP) เนื่องจากว่าตัวตนของคนเราจะรับฟังในสิ่งที่ตนเอง
พูดมากกว่าจะฟังคนอื่นพูดเสียอีก
ดังนั้นการพูดกับตัวเองในสิ่งที่ดี พูดย้ำซ้ำๆบ่อยๆ ตัวตนของคนเราก็จะเชื่อฟังและนำพาตัวเขา
คนนั้นเองไปสู่สิ่งที่ดีสำหรับเขาได้ แต่ก็เป็นธรรมดาที่สุดเหมือนกันว่า ขณะที่คนเราพยายามพูดกับ
ตนเองในสิ่งที่ดีๆ ก็จะมีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในสมองของเขาคอยพูดไปพร้อมๆกันด้วย
หากเขาบอกกับตัวเองว่า ฉันแข็งแรง อาจจะมีอีกเสียงหนึ่งที่แทรกขึ้นมาว่า แกจะแข็งแรงไปได้
ยังไงในเมื่อแกขาเป๋ แกมันเป็นไอ้เป๋ อีกสิบชาติแกก็ไม่แข็งแรง แกมันแย่....(ตำหนิตัวเองมากกว่าชื่นชม?) แล้วเขาก็จะฟังเสียงนี้
เขาจะเชื่อ...และเชื่อว่าเขาเป็นคนขาเป๋ที่อ่อนแอ น่าเวทนาสงสาร และเขาก็จะปฎิบัติตนเป็นคนที่อ่อนแอไร้ความสามารถไปจริงๆ เช่นเดียวกับอาการพลาดรักของหลายๆคน เขาจะซมซาน เจ็บปวดกับความผิดหวัง ด้วยการพูดย้ำกับตัวเองตลอดเวลา ถึงความไร้ค่าของตนเอง และอีกมากมาย ที่ทำให้เขาไม่อยากมีตัวตนในโลกใบนี้ต่อไปแล้ว เพราะเขาช่างไร้ค่า ใครๆก็ไม่รัก เขาจะดูถูกตัวเอง เหยียบย่ำตัวเอง เป็นเดือน เป็นปี ช่างเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งจริงๆ
คนที่พลาดรัก ผิดหวัง มักจะตัดสินใจว่าตนเองเป็นคนไม่มีคุณค่า และจะตอกย้ำความไร้ค่าให้กับตัวเองอย่างโหดร้าย หากเขามีสติพอที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วมองเข้าไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วบอกตัวเองว่า จบเป็นจบ เดี๋ยวเราก็จะได้พบคนที่ใช่ของเราจริงๆ คนที่เรารักเขาจริงๆที่ไม่ใช่คนนี้ สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี เป็นทุนที่จะได้ใช้ในภายหน้า เขาก็จะมีอาการค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ
การจะฟื้นคืนสภาพจากการอกหักรักคุด กลับไปเป็นคนเดิมที่สดใส จะใช้เวลานานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะมี Self talk กับตัวเองอย่างไร บางคนอาจจะพอใจที่จะตอกย้ำทำร้ายตัวเองซ้ำๆซากๆคนผู้นั้นก็จะคืนสภาพได้ช้ามาก อาจจะใช้เวลานานนับปีหรือหลายปี ซึ่งจะทำให้เขามีชีวิตที่ไม่มีชีวา อยู่อย่างปราศจากความสุขไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ถ้าคนผู้นั้นเบื่อที่จะทำร้ายตัวเอง แล้วหันมาพูดกับตัวเองด้วยข้อมูลอย่างอื่นบ้าง ชื่นชมตัวเองให้มากขึ้น เลิกฟังเสียงเล็กๆที่คอยค้านในเวลาที่เขาพูดดีๆกับตัวเอง เวลาที่เขาชื่นชมตัวเอง แทนการพูดตำหนิตัวเอง เขาก็จะเป็นผู้มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นได้
มีคำพูดว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของคนๆหนึ่งมันสั้นนัก เขาจะผจญ
กับความทุกข์ในใจได้นานเพียงใด และเหตุใดคนๆนั้นจึงต้อง
ทำร้ายตัวเองด้วยการตำหนิ ว่ากล่าวตัวเองตลอดเวลา
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานตามธรรมชาติของมนุษย์นี้ เรื่องที่ดี
มีความสุขควรเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องพึงมีและพึงเป็น
พูดคุยกับตนเองด้วยคำพูดที่สร้างความ สดชื่นแจ่มใส เพื่อเพิ่ม
พลังชีวิตให้สดใส
รักตัวเองให้มากๆ จะดีกว่า ชื่นชมความเป็นตัวตนเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะยืดหยัดกับคนผู้นั้นตลอดเวลาทุกลมหายใจของการมีชีวิต ตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เหมือนกับใครในโลกใบนี้ คนเราต้องให้ความรักและสร้างความนับถือตัวเองให้มาก
แล้วเขาคนนั้นจะไม่มีวันรู้สึกพลาดหวังในความรัก เพราะเขามีมันมากมายอยู่แล้ว เขาจะไม่โหยหาความรักจากคนอื่นจนต้องผิดหวังเมื่อไม่ได้รับความรักจากใคร แล้วเขาจะพูดได้อย่างสบายใจว่า "อกหัก..ก็ ไม่ยักกะตาย"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)