วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

อยู่กับปัจจุบัน...ดีกว่า


กับคำถามที่ว่าภาพความหลังครั้งเก่าๆ
ทำให้เรานึกถึงอะไร?

     เป็นความจริงว่าเรื่องราวข้างหลัง
ภาพนั้นมีจริง บางครั้งก็ยืดยาวเหมือน
ภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่นำมาสร้างใหม่
หลายครั้ง

     ภาพๆหนึ่งที่เมื่อเราหยิบขึ้นมาดู อาจ
จะทำให้เรารู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าสับสนปนเป
กันจนแยกไม่ออก เหตุการณ์ในอดีตอาจ
จะปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ และแน่นอน
ที่สุดว่า มันจะเต็มไปด้วยอารมณ์และความ
รู้สึกเหมือนเรากลับไปร่วมรู้สึกกับเหตุการณ์
นั้นอีกครั้ง

     คงมีไม่มากหรอกที่เบื้องหลังภาพอันแสน
เศร้านั้นจะทำให้เรายิ้มได้เวลาหยิบภาพขึ้น
มาดู แต่ก็คงมีไม่มากนักอีกเหมือนกันทีคน
เราจะเจาะจงทำการบันทึกอันภาพแสนเศร้า
นั้นไว้ในรูปของภาพถ่ายเพื่อทำเป็นที่ระลึก
แห่งความเศร้า

     แม้ว่าจะไม่มีการบันทึกภาพแสนเศร้าไว้
และบันทึกภาพเก่าๆที่มีแต่เพียงรอยยิ้มอัน
สดใส ภาพนั้น ก็อาจทำให้เจ้าของภาพเกิด
อาการสะท้อนใจและหวนคิดถึงความหลัง
บทหนึ่งที่แสนเศร้าของตนเองได้เหมือนกัน
หากภาพนั้นเกิดแทงใจดำและกระชาก
ความรู้สึกเก่าๆที่เราคิดว่าเลือนหาย
ไปจากความทรงจำให้กลับมาบีบคั้น
จิตใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง

 
     ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า
มนุษย์เป็นนักเล่าเรื่อง
ทุกคน แม้แต่คนที่เงียบ
ขรึม เขาก็ยังเป็นนักเล่า
เรื่องตัวฉกาจเช่นกัน เรา
ทุกคนมีความชำนาญในการเล่าเรื่อง มีทั้งเรื่อง
จากอดีตและเรื่องที่ยังไม่เกิดแต่เราวาดภาพว่า
มันจะเกิดในอนาคต เราจะเล่าให้ตัวเองฟังบ่อยๆ
ซ้ำๆ หากเป็นเรื่องราวในอดีตมันอาจจะหวน
กลับมาเมื่อมีบางอย่างมากระทบอารมณ์ และ
อาจจะทำให้ เราเล่าเรื่องที่ส่งผลให้ตัวเองต้อง
เศร้า เจ็บปวด

     สิ่งนี้ทางพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นสัญญา หรือ
การจำได้หมายรู้ สัญญา หมายถึงความจําได้
ความหมายรู้ต่างๆ อันมีสมองเป็นเหตุปัจจัยอัน
สําคัญที่ทำให้เกิดการกระทบกับอารมณ์ เรียก
ได้ว่า เป็นสัญญา 2 ครั้ง

     ครั้งแรกเป็นสัญญาที่จดจําและเข้าใจในสิ่ง
ที่เห็นนั้น (กระทบเห็นหรือผัสสะ)  ส่วนครั้งที่ 2
เป็นสัญญาหมายรู้ ที่หมายถึงการคิดค้น
ประมวลผล แก้ปัญหา เปรียบเทียบ ขบคิด ฯลฯ. 
อันเป็นผลให้เกิดการสรุปผล แล้วเกิดการสั่ง
การให้เกิดหรือการกระทำต่างๆนาๆอันครอบ
คลุมทั้งทางกาย วาจา ใจ ดังนั้นเราจึงเป็นทุกข์
เศร้า                               
( จาก ขันธ์ 5 ดูรายละเอียดได้ที่ wwww.nkgen.com)

     หากเป็นเรื่องราวที่่เราเล่าถึงสิ่งที่มัน
จะเกิดขึ้นในอนาคตและเป็นเรื่องที่ร้าย
กาจที่ทำให้เรากลัวไปล่วงหน้าโดยที่ยัง
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
สิ่งนี้เรียกว่าเป็นการวิตกกังวล

     เรื่องราวในอดีตอันแสนร้ายกาจและทำลาย
ความรู้สึก กับเรื่องราวในอนาคตที่อาจทำร้าย
ร่างกายหรือจิตใจ(ซึ่งยังไม่มีอยู่จริง) สองสิ่งนี้
หากว่าเราปล่อยให้มันผ่าน้ข้ามาโดยไม่รู้ทัน
และตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน มันก็จะไม่ส่งผลหรือ
เข้ามามีอิทธิพล ทำลายความสุขที่เราควรจะมี

     มีคำกล่าวว่า เราไม่สามารถค้นพบตัวเอง
ได้ในอดีตหรือในอนาคตที่ที่เดียวที่เราสามารถ
พบตัวเองได้ก็คือปัจจุบัน (เอ็คฮาร์ท โทลเลอ)

     ดังนั้นกับคำถามที่ว่า เมื่อมองภาพเก่าๆทำ
ให้เรานึกถึงอะไร หากมันทำให้เราวาดภาพ
ความสุขในอดีต หรือความสำเร็จในอนาคต
นั่นมันสุดยอดมาก

     แต่หากมันทำให้เราอยากร้องไห้ เสียดาย
เสียใจ นึกถึงความทุกข์ในอดีตหรือ หวาดกลัว
ในอนาคต หากเรารู้ทันและตั้งสติให้อยู่กับ
ปัจจุบัน ได้
นั่น...มันยิ่งกว่าสุดยอด

     มีความสุขกับชีวิตดีกว่า Be Happy !

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

ความแตกต่างของการใช้คำ


     ระหว่างคำว่า "ฉันตัดสินใจที่จะเป็นคนผอม" กับคำว่า
"ฉันตัดสินใจที่จะไม่อ้วน"สองคำที่ฟังแล้วไม่แตกต่าง แต่
มันกลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก

     มันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงกับศาสตร์ของ NLP
คือการใช้คำในการสื่อสารกับตนเองและสื่อสารกับผู้อื่น
เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือประสบความสำเร็จ
ในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น

     หลักการของการสื่อสารนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
ต้องคิดบวก พูดบวก แต่การพูดบวกนั้นก็มีเทคนิคของมัน
อยู่เหมือนกัน

     เราจะรู้สึกอย่างไรถ้าคนสองคน    
 อวยพรเรา คนหนึ่งอวยพรว่า "ขอให้
ไม่เจ็บไม่จน" กับ อีกคนหนึ่งอวยพรว่า
"ขอให้แข็งแรงร่ำรวย"  สองคำนี้ฟัง
เผินๆเป็นคำที่ดีทั้งสองคำ แต่จะรู้สึก
หรือไม่ว่าความรู้สึกในเวลาที่ได้ยิน
คำสองคำนี้แตกต่างกัน

     มันเป็นพลังที่แฝงอยู่ในคำพูดที่ผู้คนใช้สื่อสารกับ
ตัวเองและใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ พลังในทางบวกและเป็น
พลังในการสร้างสรรค์ ให้ทั้งตัวเราและคนที่ฟังคำพูดของ
เรา ได้รู้สึกดีๆ เพื่อที่จะดึงดูดสิ่งที่ดีๆให้เข้ามาในชีวิต

     มันจึงเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการสื่อสาร ที่การโฟคัส
ในสิ่งดีๆที่เราต้องการ ก่อนที่จะสื่อสารกับตัวเองหรือสื่อ
สารกับคนอื่น
   
     คำบางคำเป็นคำที่เหมือนมองโลก
ในแง่ดี แต่โฟคัสของความคิด ความ
รู้สึกคือ การเป็นคนอ้วนนั้นดีแล้ว ดู
น่ารัก  ดังนั้น ผู้ที่ต้องการลดความ

อ้วนจริงๆ ถ้าพูดกับตนเองอย่างนี้ เขาจะไม่มีวันลดน้ำหนัก
ลงได้อย่างเด็ดขาด

     เพราะการโฟคัสของเขาไม่ได้มุ่งไปที่ความผอม แต่กลับ
ชื่นชมความอ้วนของตนเอง ซึ่งจะทำให้เขาไม่มีความจริงจัง
ในการลดน้ำหนัก หรือลดได้เล็กน้อยเขาก็จะกลับไปอ้วนอีก เพราะเหตุผลว่า ถึงจะอ้วนเขาก็ยังดูน่ารัก

 เช่นเดียวกับที่เราพูดว่า "ฉันตัดสินใจ        
ที่จะเป็นคนผอม"โฟคัสของคำนี้คือการ
เป็นคนผอม ดังนั้น เมื่อพูดกับตนเอง
เช่นนี้เขาจะสามารถทำให้ตนเองผอมลง
ได้อย่างแน่นอน

     แต่หากเขาพูดว่า "ฉันตัดสินใจจะไม่อ้วน" เขากลับกำลัง
โฟคัสไปที่ความอ้วนของตนเอง เพราะไม่มีคำใดที่เอ่ยถึงความผอมแม้แต่น้อย

     ขอให้ใช้ถ้อยคำที่สร้างพลังทางบวกอย่างแท้จริง เมื่อทำ
ได้ ความแตกต่างของการใช้ถ้อยคำ จะสามารถทำให้เกิด
ความแตกต่างในชีวิตได้                                                      


   

วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

จากสามก๊ก


น่าแค้นใจนัก สวรรค์ช่วยมัน ไม่ข่วยข้า!

     เมื่ออ้วนเสี้ยวแตกทัพพ่ายโจโฉ ทั้ง
ที่มีไพร่พลถึงเจ็ดแสน มากกว่าโจโฉถึง
สิบเท่า (โจโฉมีกำลังพลเจ็ดหมื่น) แต่
อ้วนเสี้ยวก็ต้องพ่ายแพ้แก่โจโฉด้วยความ
เขลาและความประมาทของตนเอง

     เนื่องจากโจโฉเห็นว่าทำเลที่ตั้งทัพของ
อ้วนเสี้ยวนั้นหันไปทางทิศตะวันตก โจโฉ
ใช้แผนดึงความสนใจของอ้วนเสี้ยวให้
นั่งจิบน้ำชาฟังคำเยินยอ ขณะที่ส่งทัพไป
ตลบตีทัพหลังอ้วนเสี้ยวและรอตะวันคล้อย
ไปทางทิศตะวันตก ตะวันส่องแสงแรงกล้า
เข้าตาทหารของอ้วนเสี้ยวที่ยืนทัพรอแม่ทัพ
ใหญ่ไปนั่งจิบน้ำชากับศัตรู ขับพลเข้าโจมตี
อ้วนเสี้ยวแตกทัพยับเยิน

     ขณะที่อ้วนเสี้ยวที่กระเจิงหนีตาย ตัดพ้อ
สวรรค์อย่างเคียดแค้นว่า "น่าแค้นใจจริงๆ
สวรรค์ช่วยมันแต่ไม่ช่วยข้า" ก่อนจะหนี
กระเจิงออกจากเมืองพ่ายแพ้แก่โจโฉอย่าง
หมดรูป

     และด้วยถ้อยคำท้ายนี้เช่นกันที่อ้วนเสี้ยว
เมื่อพูดจบก็ถึงแก่กาลเวลาของตนด้วยการ
กระอักเลือดตายในที่สุด

     อ้วนเสี้ยวเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องสาม
ก๊กนั้น เป็นคนที่โลเล หูเบา ชอบคนที่มาประจบ
สอพลอ แต่นั่นไม่เท่ากับความเขลาทึบและ
ไม่รู้จักยุทธวิธีการรบ(ไม่มีความรู้ด้านพิชัย
สงคราม) และยังประมาทศัตรูว่ามีกำลังน้อย
ทำให้เสียกลศึก

     อ้วนเสี้ยวกล้าตัดพ้อสวรรคอย่างคับแค้น
โดยที่ไม่มองตนเองว่าความวิบัติที่เกิดขึ้นนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของตนเองด้วย
เช่นกัน

     ภาษิตจีนมีคำกล่าวว่า "สามสิบลิขิตฟ้า
เจ็ดสิบต้องลงมือทำ" 

     คำกล่าวนี้ก็บ่งบอกอยู่ว่า ทุกสิ่งที่คนเราทำ
ไม่ว่าจะประสบ
ผลเช่นไร นั่นเกิดจากการกระทำของพวกเขา
เอง ไม่ได้เกิดจากลิขิตของสวรรค์ 

     การอ้างถึงสิ่งอื่นว่ามีอิทธิพลกับผลการ
กระทำนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะ
หนีพ้นจากการรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด
ขึ้นได้

      มีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่า "การใช้ชีวิตมีทาง
เดียวเท่านั้นคือ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา
เราเป็นผู้เลือกให้มันเกิดขึ้นกับเราเอง" 

     เหตุการณ์แบบที่เกิดกับอ้วนเสี้ยว เกิด
ขึ้นได้กับทุกคนและทุกสังคม มันเป็นเรื่อง
ปกติอย่างยิ่ง

     ในห้วงหนึ่งของชีวิตอาจมีหลาย เหตุการณ์
ที่คนเราจะไม่ยอมรับความจริงและไม่กล้า
เข้าไปรับผิดชอบผลของมัน โดยจะมีการ
กล่าวอ้างถึงสิ่งรอบกายที่คิดว่ามันควรจะ
มีอิทธิพลที่ทำให้เกิดผลนั้นๆ

     การยอมรับความจริง แม้ว่าจะทำให้เจ็บ
ปวด แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ใครก็
เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ การไม่ยอมรับกับ
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และการพยายาม
หนีจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้วนั้น มันจะ
ทำให้เราดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร

     การพยายามปลอบใจตนเองด้วยการ
กล่าวโทษสิ่งภายนอกและไม่ยอมรับกับ
ความเป็นจริงนั้น เป็นการหลีกเลี่ยงการ
เผชิญหน้ากับปัญหาที่ค้างคาอยู่ และ
ปัญหานี้มันจะตามหลอกหลอนสร้างความ
เจ็บปวดให้กับผู้เป็นเจ้าของ ทุกครั้งที่นึกถึง

     มันจะเป็นเหมือนภาพยนต์เรื่องสั้นๆที่
ตนเองจะเป็นตัวเอกที่น่าเวทนา มันจะฉาย
ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในใจของ
พวกเขาเอง และมันจะสร้างความเจ็บปวด
ที่มากขึ้นทุกครั้งที่นึกถึง

     คนเรามักเป็นเช่นนี้เอง ถ้าเขาไม่ยอมตัด
ใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหา ยอมรับ
ในสิ่งที่เกิดขึ้นและถือมันเป็นบทเรียนที่
หากว่าต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ
หรือเหตุการณ์ที่คล้ายๆกัน เราจะแก้ไข
ปัญหาได้อย่างไร 

     เหมือนดังเช่นอ้วนเสี้ยวที่แตกทัพและ
หลงกลโจโฉครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความไ
ม่รู้จักนำอดีตมาเป็นบทเรียน ในการแก้ไข
กลศึก การไม่ยอมรับว่าตนเองต้องทำการ
ปรับเปลี่ยนกลยุทธคิดแต่จะอาศัยพวก
มากเพียงอย่างเดียวทำให้อ้วนเสี้ยวพา
ชีวิตของคนเจ็ดแสนถึงกาลวิบัติไปพร้อมๆ
กัน

     ทำให้อ้วนเสี้ยวต้องพ่ายแพ้ให้กับโจโฉ
อย่างยับเยินทั้งที่มีกองทัพอันเกรียงไกร
แต่การไม่ยอมรับความจริงที่ว่า ตนนั้น
เขลากว่าและแพ้กลของโจโฉไปแล้ว และ
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองพ่ายแพ้อย่าง
ยับเยินจริงๆ

     อ้วนเสี้ยวกลับไม่กล้ายอมรับความจริง
และมันก็ทำให้ให้อ้วนเสี้ยวคิดเคียดแค้น
แน่นอกจนทนไม่ไหว ต้องกระอักเลือดและ
จบชีวิตลง หลังจากเอ่ยคำตัดพ้อสวรรค์
อย่างคนไม่ยอมรับความจริง
เป็นคำสุดท้ายว่า สวรรค์ช่วยโจโฉ ไม่ช่วยข้าฯ

     "สวรรค์นั้นจะช่วยผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น"