วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 6 อ้วนหรือผอมอยู่ที่ตัวเรา : การเพิ่มพลังงานเผาผลาญ



            การดำรงชีวิตในวันหนึ่งๆของคนเรา
ต้องใช้พลังงานแตกต่างกันไป โดยสามารถ
หาได้จากการคำนวณค่าพลังงานพื้นฐาน
(ค่า BMR หรือค่า REE )

     เปอร์เซ็นต์ของการใช้พลังงานพื้นฐาน
ของคนเราที่จะนำไปใช้ในการการเผาผลาญ
ให้เกิดพลังงานในร่างกาย แบ่งออกเป็น

     65%   ของพลังงานทั้งหมด ใช้ไปกับการ
ดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นการหายใจ การเต้นของ
หัวใจการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

     25%   ใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของ
ร่างกาย   ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง รวมถึงการ
ออกกำลังกายซึ่งถ้าเราสามารถเพิ่มให้ร่าง
กายใช้พลังงานส่วนนี้มากกว่า 25% ได้

     10%   จะนำไปใช้ในการย่อย  ดูดซึม
อาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

     ค่าพลังงานพื้นฐานเป็นพลังงานที่ทุกคน
ใช้ในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน   โดยการใช้
เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต สำหรับส่งให้อวัยวะภาย
ในสำคัญๆทำงานอยู่ตลอดเวลา เช่น หัวใจ
ปอด สมองระบบประสาทตับ ไต  อวัยวะ
สืบพันธุ์ กล้ามเนื้อ และผิวหนัง การคิดค่า
พลังงานพื้นฐานนี้คำนวณจากอายุ ความสูง
และน้ำหนักของคนๆนั้น

     เมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้นหรือมีมวล
กล้ามเนื้อลดลง ไม่ว่าจากสาเหตุใดๆ รวมทั้ง
สาเหตุจากการลดน้ำหนักด้วยวิธีอดอาหาร
ร่างกายจะใช้พลังงานส่วนนี้น้อยลง แต่หาก
เมื่อร่างกายมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นร่างกายก็จะ
ต้องการพลังงานพื้นฐานนี้เพิ่มขึ้นด้วย
(ข้อมูลจาก dietquickly.blogspot,com )

     การที่ร่างกายสามารถมีพลังงานพื้นฐาน
ในการเผาผลาญเพิ่มนับเป็นสิ่งที่ดี แสดงว่า
ร่างกายสามารถที่จะทำการเผาผลาญได้
มากขึ้น นั่นหมายถึงส่วนเกินที่ร่างกาย
เผาผลาญไม่หมดก็จะน้อยลง แสดงว่าคน
ผู้นั้นจะไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมที่มากเกิน
ไป

     กรณีการลดความอ้วนด้วยการอดอาหาร
หรือลดความอ้วนด้วยการใช้ยา นั้น ยาลด
ความอ้วนจะไปกดประสาททำให้เราไม่หิว
ไม่อยากกินอาหาร การไม่มีอาหารเข้าไป
ให้ร่างกายทำการย่อยก็จะทำให้ร่างกาย
คิดว่าเราเกิดภาวะขาดอาหาร

     ดังนั้น ร่างกายจึงต้องป้องกันตนเองตาม
ธรรมชาติ โดยการสงวนพลังงานพื้นฐานไว้
โดยอัตโนมัติ  เพื่อที่จะได้เอาไปใช้เป็นพลัง
งานในการดำรงชีวิต ร่างกายจึงลดการเผา
ผลาญให้น้อยลง

     เป็นเหตุให้หลังจากอดอาหารได้ระยะ
หนึ่งเมื่อกลับไปกินอาหารตามปกติแล้ว
ร่างกายก็ยังคงสงวนพลังงานไว้และไม่
ทำการเผาผลาญอย่างเต็มที่ จึงเป็น ที่มา
ของการสะสมไขมันส่วนเกินมากขึ้นหลัง
การลดความอ้วนด้วยการอดอาหาร
เป็นอาการที่เรียกว่าโยโย่เอฟเฟ็ค
นั่นเอง

         การเพิ่มพลังงาน
  การเผาผลาญเป็นวิธี
  หนึ่งในการช่วยลดน้ำ
  หนัก วิธีเพิ่มพลังการ
  เผาผลาญอย่างง่ายๆ

และได้ผลในระยะยาวคือการออกกำลังกาย
เพราะนอกจากจะเพิ่มพลังงานในการเผา
ผลาญแล้ว เมื่อออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ
ให้กับร่างกายได้ ความสามารถในการเผา
ผลาญก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

     สิ่งซึ่งผู้ที่จะลดน้ำหนักต้อง พยายาม
ปรับเปลี่ยนคือ "ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม"
จากที่ขี้เกียจออกกำลังกาย หันมาเป็นผู้
นิยมการเคลื่อนไหวขยับร่างกาย

      ซึ่งโดยปกติคนคนที่  มีรูปร่างอวบ
หนามักไม่ค่อยจะชื่นชอบในการขยับ
เขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายให้มากเกิน
ความจำเป็น โดยเฉพาะการออกกำลัง
กายชนิดที่ทำให้เหงื่อไหลโทรมและทำ
ให้หัวใจเต้นแรงหรือแม้แต่การจะเดิน
ให้ไกลขึ้น อาจเป็นเพราะความอุ้ยอ้าย
ในเวลาเดินทำให้ไม่อยากจะเดินมาก

     อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่ผู้ซึ่งต้องการจะลดน้ำหนักพึงกระทำ
คือการออกกำลังกายหรือการขยับ
เขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง

     ผู้ที่ไม่ชื่นชอบการออกกำลังกาย
พึงจะต้องปรับเปลี่ยนหันมาออกกำลัง
ควบคู่กันไปกับการควบคุมอาหาร

     ทั้งนี้มีผลการวิจัยออกมาว่า "การ
ลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายเพียง
อย่างเดียว จะสามารถลดน้ำหนักได้
น้อยกว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่าง
เดียว"
(ข้อมูลจาก Be your shape
โดย COACH ZING)

     โดยทั่วไปแล้วร่างกายของเรา
ต้องการพลังงาน 1,200 ถึง 2,000
แคลอรี่  และหากว่าในหนึ่งวันนั้น
เรารับพลังงานจากการกิน
อาหาร มากกว่าความต้องการ
ร่างกายก็จะลำเลียงส่วนที่เกินไป
สะสมไว้ในรูปของไขมัน  การออก
กำลังกายจะช่วยให้ร่างกาย
นำพลังงาน ออกมาใช้และทำให้
การสะสมไขมันน้อยลงหรือไม่
สะสมไขมัน เลยซึ่งหมายถึงน้ำหนัก
ก็จะไม่เพิ่มขึ้น

     วิธีการออกกำลังกายที่ได้ผลไม่ใช่
การหักโหมออกกำลังกาย แต่ต้องออก
กำลังตามที่สภาพร่างกายของเราจะ
อำนวย ที่ต้องการคือความสม่ำเสมอ
ในการออกกำลังกาย

     เวลาที่ใช้ในการออกกำลังกาย
ประมาณ 30 นาที เป็นอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 3 - 5 วัน

     ในตอนแรกๆอาจจะยังทำได้ไม่
ถึงตามที่ต้องทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะการออกกำลังกายอาจจะไม่เคย
อยู่ในแผนการที่จะใช้ชีวิตเช่นนั้นมา
ก่อน เราเพียงแต่ต้องฝึกทำให้สม่ำ
เสมอเพื่อให้เกิดความเคยชิน และนำ
ไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้
เรารู้สึกได้ว่า การได้ขยับเขยื้อน
เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เป็นภาระ
หนักใจของเราอีกต่อไป  และสามารถ
ที่จะออกกำลังเพื่อให้ร่างกายเผา
ผลาญได้ดีขึ้น

       นอกจากการออก
  กำลังกายแล้ว ยังมีวิธี
  ง่ายๆที่สามารถ ทำให้
  ร่างกายเผาผลาญพลัง
  งานได้ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่ง
  สามารถใข้ วิธีควบคู่
ไปด้วยกันกับการควบ

คุมอาหารและการออกกำลังกาย นั่นคือ
การนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ระดับ
เมตาบอลิซึ่มทำงานได้เต็มที่
(ระดับเมตาบอลิซึ่ม คือระดับการเผา
ผลาญในร่างกายหรือก็คือพลังงาน
พื้นฐานนั่นเอง)

     การดื่มน้ำสะอาดในระดับอุณหภูมิปกติ
โดยไม่ต้องแช่เย็นก็เป็น อีกทางหนึ่งที่พอ
จะช่วยเร่งระดับพลังการเผาผลาญ
ได้อีกทางหนึ่งที่พอจะช่วยเร่งระดับ
พลังการเผาผลาญได้

     วิธีการดื่มน้ำนั้นสามารถดื่มได้ทั้งวัน
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้หิวน้ำก่อน ใช้
วิธีจิบแทนที่จะดื่มครั้งเดียวในปริมาณมากๆ  แต่ควรดื่มให้ได้ในปริมาณ
8 - 10 แก้วต่อวัน น้ำจะเป็นตัวเร่งการ
เผาผลาญไขมันที่ดีทำให้ตับทำงานได้
เต็มที่   และขับถ่ายของเสียที่สะสมใน
ร่างกายได้อีกด้วย                                     

อาหารเสริมจำเป็นต่อการลดน้ำหนักหรือไม่?

🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰🐰



🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑


         

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 5 พลังใจ ไดอารี่ และตาชั่ง


            บุคคลที่มีเรือนร่างอวบ
เกินขนาดหลายต่อหลายคนที่
เคยลดน้ำหนักหรือพยายามที่
จะลดน้ำหนักลงได้จนเป็น
ผลสำเร็จแล้วแต่กลับมีอาการกลับมาอ้วนอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้อาจจะอ้วนมากกว่าเดิมทำให้การลดน้ำ
หนักอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้นอีก จน
อาจจะทำให้บางคนท้อแท้เลิกใส่ใจกับปัญหา
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีก

     ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร   คนเรานั้นมีจุด
อ่อนที่สำคัญเกือบทุกคนในการที่จะทำทุกอย่าง
ตามใจตนเองอยู่แล้ว แม้ความมีเหตุและผลใน
สมองซีกซ้ายจะประมวลถึงอันตรายจากน้ำหนัก
ตัวที่เพิ่มขึ้นแต่สมองซีกขวาที่ยังรับรู้ถึงความ
สุนทรีย์ในเวลาที่กินอาหารเลิศรส

     ทำให้ทุกครั้งที่ผู้ซึ่งอยากลดน้ำหนัก แม้นว่า
จะบอกตนเองว่า "อ้วนนะ"  แต่ก็ยังคงจะกินอยู่ดี
เป็นการกินทั้งที่รู้ว่าจะทำให้ "อ้วน"

     การลดน้ำหนักที่ยั่งยืนโดยไม่มีการเหวี่ยง
กลับไปโยโย่อีกครั้งนั้นต้องอาศัยของสองสาม
สิ่งในการลดน้ำหนัก นั่นคือ "พลังใจ" ของผู้ที่คิด
จะลดน้ำหนัก ไดอารี่ที่ต้องคอยจดพฤติกรรม
การบริโภคของเราอย่างสม่ำเสมอ และ ตาชั่ง
ที่ไว้คอยชั่งน้ำหนักตัว

     พลังใจนั้นไว้สำหรับปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
มีความสำคัญอย่างมากเราอาจจะ
เคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆว่า "พฤติกรรมเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยน" วลีนี้ไม่ใช่วลี
ที่เลื่อนลอย  การจะลดน้ำหนัก
ควรต้องมีการตั้งเป้าหมายให้
เด่นชัดว่าต้องการจะลดน้ำหนัก
ให้เหลือเท่าไหร่  ในระหว่างการลดน้ำหนัก
เขียนเป้าหมายลงในสมุดบันทึกจากนั้นให้
ความสนใจกับแคลอรี่ของอาหาร

     จดพฤติกรรมการกินของเราทุกๆมื้อเทียบ
ดูแคลอรี่ว่าเรากินเกินจากพลังงานพื้นฐาน
ของเราไปเท่าไหร่ ระยะแรกอาจมีการรำคาญ
ใจบ้างกับการต้องเทียบแคลอรี่ของอาหารทุก
มื้อที่กิน

     แต่ไม่นาน เราจะจำได้คร่าวๆว่าอาหารชนิด
ใดที่ให้แคลอรี่สูงมากๆ  อาหารชนิดนั้นต้อง
พยายามเลี่ยง แต่ถ้าอยากกินอาหารที่มีแคลอรี่
สูงนั้นจริงๆ เราอาจลดปริมาณลง โดยกินเพียง
สองในสามส่วน  

     เทียบแคลอรี่ดูว่าควรจะต้องลดปริมาณ
อาหารลงอีกเท่าไหร่ในหนึ่งมื้อไม่ควรกินเกิน
สามร้อยห้าสิบแคลอรี่หรือหากมื้อใดที่กินเกิน
ไปจากที่ควรจะกินมื้อต่อไปเราอาจต้องลด
ปริมาณอาหารลงโดยใช้หลัก  

     "มื้อเช้ากินอย่างราชา   กลางวันกินอย่าง
เศรษฐี และตอนเย็นกินอย่างยาจก"

     พยายามจดทุกมื้ออาหารที่กินในไดอารี่  ใน
ระยะแรกที่เริ่มคุมน้ำหนัก  เพื่อเตือนตัวเองว่า
เราควรต้องปฎิบัติตนอย่างไร ต่อไปหลังจาก
ที่กินเกินค่าพลังงานพื้นฐาน

       พลังใจนั้นยังหมาย
 ถึง กำลังใจจากเพื่อนและ
 จากผู้ที่อยู่เคียงข้างอีกด้วย
 การเข้าร่วมกลุ่ม กับผู้กำลัง
 อยู่ในระหว่างการลดน้ำหนัก

เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถเพิ่มกำลังใจให้กันและ
กันได้เป็นอย่างดีการมองดูคนอื่นๆที่มีรูปร่างที่ดี
ดูเฟิร์ม ดูมีสุขภาพสมบูรณ์ก็อาจเป็นอีกหนทาง
หนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังใจได้

     แต่ทว่าโลกใบนี้ก็จะยังมีผู้ที่ปรารถนาดีจน
เกินไป  จนไม่อยากเห็นเราต้องควบคุมอาหาร
 ดังนั้นสภาพแวดล้อมตัวเราจะมีทั้งการให้กำลัง
ใจในการลดน้ำหนักของเรา

     และยังมีบั่นทอนกำลังใจ ทำให้เราเกิดความ
ท้อแท้ที่จะลดน้ำหนัก ให้ได้ตามเป้าหมาย เพราะ
เหตุนี้ "พลังใจ"  ของเราเท่านั้นที่จะทำให้เรา
สามารถยืนหยัดในการลดน้ำหนักต่อไปได้ หรือ
จะหยุดยั้งลงที่ความอวบเกินพิกัดต่อไป

            การชั่งน้ำหนักตัวเป็นเรื่องหนึ่ง ที่
จำเป็น ผู้จะลดน้ำหนักควรชั่งน้ำหนักใน
ตอนเช้าหลังจากทำธุระส่วนตัว้รียบร้อย
แล้ว   ชั่งและจดน้ำหนักตัวในตอนเช้าไว้
 และก่อนนอนหลังจากทำธุระส่วนตัว
เรียบร้อยแล้ว ควรชั่งน้ำหนักอีกครั้ง
และจดไว้  การชั่งน้ำหนักทุกวัน

     ไม่ใช่การทำเพื่อเร่งรัดตัวเองให้รีบลด
น้ำหนักจนเกิดความเครียด แต่เป็นการชั่ง
เพื่อตรวจสอบว่า ในวันนั้นเรามีน้ำหนักตัว
เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ถ้าน้ำหนักตัวต่อวันของเรา
ขึ้นไม่เกิน 1 กิโลกรัมในวันรุ่งขึ้นน้ำหนักจะ
ลดลงเฉลี่ย 2 ถึง 5 ขีด
(ข้อมูลจาก Be Your Shape โดย
 Coach Zing)

       การชั่งน้ำหนักทุก
  วันเพื่อเป็นการวางแผน
  ให้กับตัวเองอีกวิธีหนึ่ง
  หากน้ำหนักต่อวันของ
  เราเกินกว่าหนึ่งกิโลกรัม
จากในตอนเช้าหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว

     เราจะได้วางแผนการกินอาหาร ในวันนั้นได้
ว่าเราจะกินอาหารได้มากน้อยขนาดไหนหรือใน
วันนั้นเราควรเบิร์นไขมันออกให้มากขึ้น อย่างไร

     การจดน้ำหนักตัวและการทำตารางน้ำหนัก
ตัวลงในสมุด บันทึกจะช่วยให้เราเพลิดเพลินกับ
การลดน้ำหนักและมีความสุขที่ได้เห็นเส้นตาราง
กราฟที่แสดงน้ำหนักของเราลดลงทุกเดือน  

     การลดน้ำหนักอย่างมีความสุขย่อมประสบ
ผลสำเร็จไปกว่าครึ่ง

     "เรา เป็นในสิ่งที่เราคิดจะเป็น  เราไม่ได้
เป็นในสิ่งที่คนอื่นพูด" 

     ผอม สุขภาพดี รูปร่างดีอยู่ที่ตัวเราคิดและ
ตัดสินใจที่จะเป็น ไม่ได้ขึ้นกับการวิพากษ์
วิจารณ์จากคนอื่น

     ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเพื่อตัวเราเอง
โค๊ชซิงกล่าวไว้ใน   be your shape ว่า
"ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำอ้วนล่ำอยู่ที่ตัวเรา"  
ถามตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าเราอยากมีรูปร่าง
ที่ดีได้หรือยัง?

       "คุยกันกับผู้เขียน"          


               ผู้เขียน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้จักคำ
ว่า "ผอม"  ผู้คนรอบข้างที่พบเจอไม่เคยทัก
ทายว่าดูผู้ขียนผอมลงแม้แต่ครั้งเดียว มิหนำ
ซ้ำเมื่อรู้จักกันนานเข้ายังเรียกเราว่า "ไอ่อ้วน"
ดังนั้นผู้เขียนจึงรู้จักที่จะดำรงชีวิตอย่างคน
ท้วมที่มีความสุข

     บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่าจะลดความอ้วน
พยายามอดอาหารหาหมอกินยาลดความอ้วนก็
เคยมาแล้วแม้น้ำหนักจะลดแต่ก็กลับมาอ้วนอีก
พยายามคุมน้ำหนักมาเป็นสิบปีแต่ไม่เคยประสบ
ผลสำเร็จ น้ำหนักตัวของผู้เขียนเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
นานปีจนผู้เขียนมีน้ำหนักตัว 65  กิโลกรัมในระดับ
ความสูง 150 เซ็นติเมตร และคุ้นเคยที่จะอยู่กับ
น้ำหนักตัวประมาณนี้ รวมถึงโรคความดันโลหิตสูง
ที่มาขอจับมือเดินเคียงข้างกับชีวิตผู้เขียนมานาน
พอๆกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

     นับว่าเป็นโชคดีของผู้เขียนที่ได้สมัครเข้า
คอร์สอบรมเรื่องลดน้ำหนักของโค๊ชซิง เป็น
เวลาสองวันคำแรกที่โค๊ชบอกให้ทำคือให้คิด
ไว้ก่อนเลยว่าต้องการจะลดน้ำหนักลงให้เหลือ
เท่าไหร่ เพราะคนเราต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัด
ผู้เขียนตั้งเป้าให้ตัวเองมีน้ำหนักเหลือ 55

     การอบรมสองวันก็จริง แต่ต้องกลับไปทำ
ที่บ้าน ฝึกกินอาหารนับแคลอรี่ ฝืนใจขยับออก
กำลังกายที่บ้าน เพราะหลังจากทำสามเดือนจะ
ต้องนำเอาตัวเองไปชั่งน้ำหนัก เพื่อดูว่าน้ำหนัก
ลดได้เท่าไหร่

     ผู้เขียนเองไม่ค่อยมีวินัยกับตัวเองในเรื่องนี้
เท่าไหร่นัก กินอาหารก็ตามอารมณ์ตลอด แต่ก็
พยายามลดแป้งและน้ำตาลลง พยายามออก
กำลังกาย ในช่วงสามเดือนแรก สามารถลดน้ำ
หนักได้ไม่มากนัก น้ำหนักตัวยังแตะอยู่ที่ 62

     คนอื่นอาจจะใช้เวลาสามเดือนนี้ลดน้ำหนัก
อย่างจริงจัง และลดน้ำหนักได้เป็นที่น่าพอใจ
ซึ่งถ้าเป็นคนที่มีวินัยและตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนัก
ในช่วงสามเดือนอาจสามารถลดได้ถึง 15
กิโลกรัม ซึ่งโค๊ชซิงเคยลดน้ำหนักตนเองได้ถึง
32 กิโลกรัมภายในเจ็ดเดือน แต่ผู้เขียนใช้เวลา
สิบเดือนลดน้ำหนักจาก 65เหลือ น้ำหนัก 54

     ตอนนี้มีคนทักว่าดูผอม อาจเป็นเพราะเคย
เห็นกันตอนที่อวบจัดมาก่อน รูปร่างที่กระชับลง
น้ำหนักที่ลดลง ทำให้คนเราใช้ชีวิตได้มีคุณภาพ
ขึ้น ดูแลพฤติกรรมการกิน และพยายามออกกำลัง
กาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้ ชีวิตจะเปลี่ยน
แล้วคุณจะรู้ว่า น้ำหนักตัว 54 ทำให้ชีวิตดีกว่าน้ำ
หนักตัว 65 มากมายขนาดไหน                                         




อาหารเสริม จำเป็นต่อการลดน้ำหนักหรือไม่ ?

🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺

การสร้างแบรนด์ เป็นสิ่งสำคัญในการทำ
ธุรกิจของท่าน วันนี้ท่านจดทะเบียนเครื่อง
หมายการค้าของท่านแล้วหรือยัง ???

     เราเป็นทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องหมายการค้า
PipSS   บริการให้คำปรึกษา และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าครบวงจร
สนใจติดต่อเรา  โทร. 085 - 369 7956

🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘



     

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 4 อ้วนหรือผอม อยู่ที่ตัวเรา : ค่าพลังงานพื้นฐานกับแคลอรี่ในอาหาร


            มันเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับผู้ที่คิดจะ
ลดน้ำหนักควรจะต้องรู้บ้างว่าในวันหนึ่งๆเรา
ควรจะกินอาหารเท่าใด   แม้ว่าจะดูเหมือนว่า
จะเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะต้องมาคิดคำนวณว่า
ด้วยน้ำหนักความสูงของเราคูณหารออกมาแล้ว  

     ในวันหนึ่งๆเราควรกินอาหารได้วันละกี่
แคลอรี่ หรือ อาหารแต่ละอย่างที่เรากินในแต่
ละมื้อมีกี่แคลอรี่  และเราสามารถจะกินได้ใน
อัตรามากน้อยเท่าใด

            แต่เรื่องยุ่งยากเหล่า
  นี้เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ที่
  เราควรจะต้องรู้เพื่อการลด
  น้ำหนักตัวลงอย่างได้ผล

     สำหรับแคลอรี่ในอาหาร

แต่ละอย่างนั้น  เราสามารถที่จะเรียกดูได้มากมาย
จากเวบไซต์ต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพ

     การดูแคลอรี่ของอาหารก็เพื่อนำมาเป็นข้อ
จำกัดไม่ให้จำนวนแคลอรี่ที่เราได้รับจากอาการ
นั้นเกินไปกว่าที่ร่างกายจะทำการเผาผลาญใน
แต่ละวัน

      จำนวนแคลอรี่ในแต่ละวันที่คนเราพึงจะ
ต้องได้รับ  เรียกว่าเป็นค่าพลังงานพื้นฐานซึ่ง
เป็นพลังงานที่ร่างกายของคนเรานำไปใช้ใน
การย่อยอาหารเพื่อนำสารอาหารไปเลี้ยงร่าง
กาย

     เป็นพลังงานที่คนเราใข้ในการเคลื่อนไหว
ทำกิจกรรมต่างๆเป็นพลังงานในการดำรง
ชีวิตของคน

     ค่าพลังงานพื้นฐานนี้เรียกว่า ค่า BMR
 (Basic Metaboric Rate) เรามักจะได้ยิน
กันบ่อยๆในวงการคนที่สนใจเรื่องการนับ
แคลอรี่ของอาหาร

     เช่น ผู้ชายไม่ควรกินเกิน 1200 แคลอรี่
ต่อวัน หรือ ผู้หญิงไม่ควรกินเกิน 1000 แคลอรี่
ต่อวัน

     นั่นหมายความว่าในช่วงแต่ละวันนั้น ผู้ชาย
จะใช้พลังงานไปกับกิจวัตรประจำวันของตน
ประมาณ 1200 แคลอรี่ และผู้หญิงจะใช้พลัง
งานไปประมาณ 1000 แคลอรี่ต่อวัน  ซึ่งจะมี
ผลต่อการพยายามลดอาหารของผู้ที่ต้องการ
คุมอาหาร คือ พวกเขาจะต้องกินอาหารที่มี
ปริมาณของแคลอรี่ทั้งสามมื้อรวมกัน ต้องไม่
เกิน 1200 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย หรือ ผู้หญิง
ก็ต้องกินไม่ให้เกิน 1000แคลอรี่

     หากกินเกินกว่าที่พวกเขามีค่าพลังงาน
พื้นฐาน หมายความว่า ส่วนที่เกินจาก 1200
หรือ 1000 นั้น  ร่างกายของพวกเขาจะไม่
สามารถเผาผลาญส่วนที่เกินนั้นได้ และจะ
เก็บสะสมไว้ในร่างกาย ในรูปของ "ไขมัน"
สะสมไปจนคนๆนั้นอ้วนขึ้นอย่างช้าๆ  จนพบ
ว่าในที่สุดเขาก็อวบท้วมจนเกินไปเสียแล้ว

     การคำนวณค่าของ BMR นั้น มีสูตร
สำเร็จในการคิดคำนวณซึ่งสามารถหา
ค่าพลังงานพื้นฐานของตัวเองได้ หรือ
อาจจะใช้สตูรการคิดอีกวิธีหนึ่งซึ่ง
เป็นสูตรที่นักโภชนาการ และผู้เชี่ยว
ชาญหลายคน รวมถึงสมาคมโรคเบา
หวานอเมริกัน (the  American
Dietetic  Association) แนะนำให้ใช้ เรียกว่าสูตรREE  (Resting  Energy  Expenditure)     หรือพลังงานพื้นฐาน
ที่ร่างกายต้องการขณะพัก เป็นสูตรสำเร็จ
ซึ่งมีการคิดคำนวณแยกเป็นชายหญิงดังนี้

     ชาย = (10 x น้ำหนัก (กิโลกรัม)) +
(6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร)) - (5 x อายุ)
+ 5

     หญิง = (10 x น้ำหนัก (กิโลกรัม)) +
(6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร)) - (5 x อายุ)
- 161

 ยกตัวอย่าง   คุณ จ. เป็นผู้หญิง อายุ
30 ปี ส่วนสูง 165 ซม. น้ำหนัก 60 กก.
ค่าที่ได้ก็จะเท่ากับ

            (10 x 60) + (6.25 x 165) -
(5 x 30) - 161 = 1,329.25 กิโลแคลอรี

     
       ความจริงในการ
  คิดคำนวณค่า BMR
 หรือค่า REE ยังต้อง
 มีการนำเอาการใช้พลัง
 เล็กๆน้อยๆในแต่ละวัน
 มาคิดคำนวณด้วยเพื่อ

ค่าที่ออกมาจะได้ใกล้เคียงที่สุด

     แต่จะอย่างไรก็ตามเพียงการคิดคำนวณ
จากสูตรนี้เพียงอย่างเดียว  เราก็สามารถที่
จะกำหนดได้อย่างคร่าวๆแล้วว่าในวันหนึ่งๆเ
ราควรกินอาหารกี่แคลอรี่ จากตัวอย่างข้าง
ต้นคุณ จ. ควรกินอาหารไม่เกิน 1,329.25
แคลอรี่ต่อวันหรือเราอาจจะจำตัวเลขกลมๆ
ง่ายๆให้ติดไว้ในใจก่อนว่า ในการกินอาหาร
ต่อวัน ผู้ชายไม่ควรกินเกิน 1,200  แคลอรี่
และผู้หญิงไม่ควรกินเกิน 1,000แคลอรี่

     จากนั้นก็ลองหาตารางอาหารมาเทียบ
ดูจำนวนแคลอรี่ที่เราได้รับแต่ละมื้อ เพื่อจะ
ได้เพิ่มความรอบคอบในการกินอาหารให้มาก
ขึ้น

     อาจไม่ต้องดูอย่างละเอียดยิบ แต่อาจจะ
ใช้วิธีดูเพียงคร่าวๆเพื่อจะได้นำผลการกิน
อาหารของเราในแต่ละวันไปใช้เป็นข้อมูล
ที่เราจะปรับเปลี่ยนนิสัยการกิน

     อาหารของเราในวันถัดไป ภาษิตที่ว่า
"กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว" ฉันใด
 การจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร
ของเราก็ย่อมยากที่จะเปลี่ยนไปในทันทีได้
ฉันนั้น  แต่ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าถ้า  
"เปลี่ยนพฤติกรรมได้ ชีวิตจะเปลี่ยน"
                    



อาหารเสริม จำเป็นต่อการช่วยลดน้ำหนักหรือไม่ ?

💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲💲

PipSS                                                                         
Professional ip Super Service                                  
ทีมงานที่มีผู้เชี่ยวชาญและมัประสบการณ์
ด้านการพิจารณารับจดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้ามามากกว่า 20 ปี
บริการให้คำปรึกษา รับตรวจสอบและจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้าครบวงจร
สนใจติดต่อเรา  📞  085 - 369 795



🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐🐐


วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 3 อ้วนหรือผอม อยู่ที่ตัวเรา : ลดอ้วน / ลดอาหาร


     เป็นเรื่องไม่แปลกที่ผู้ที่มีน้ำหนัก
เกินจะรู้ตัวว่าตนเองมีความอวบเกิน
พิกัดไปแล้วก็ต่อเมื่อเห็นตัวเลขบน
ตาชั่งหรือเสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วสวยเท่ห์
กลับเริ่มมองเห็นไรพุงอยู่รำไร

     ถึงเวลานั้นรูปร่างที่เคยสวยหล่อก็จะ
เริ่มขยายออกพร้อมกับส่วนเกินที่ไม่พึง
ปรารถนา

     คนที่น้ำหนักตัวเริ่มจะเพิ่มขึ้น หรือ
ลำตัวเริ่มขยายออกนั้นมีสาเหตุ อยู่สอง
สามประการ ไม่ว่าจะเป็น
     หน่วยของกรรมพันธ์ที่ทำให้คนเรา
มีลำตัวอวบหนาขึ้น
     ความเครียดจากเหตุการณ์รอบด้าน
ที่ทำให้บางคนหาทางออกด้วยการหันไป
เพลิดเพลินกับการกินและเพลินกับรสชาติ
อาหารที่ถูกปาก

     ความขี้เกียจที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย
เพื่อออกกำลังกาย ที่จะทำให้ไขมันที่กำลัง
เริ่มสะสมแตกตัวและถูกเผาผลาญไป

     ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าเป็นการ fat
burn คือ การทำให้ร่างกายเผาผลาญ
ไขมันเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมเป็นส่วน
เกินในร่างกาย

     หรือแม้กระทั่งการพักผ่อนที่ไม่เพียง
พอ การนอนน้อยที่ทำให้ร่างกายไม่
สามารถจะเผาผลาญไขมันได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

     และแม้กระทั่งความชื่นชอบส่วนตัว
ในการบริโภคอาหาร ที่ทำให้หลายคน
อดใจไม่ได้ในการตามใจปาก กินตาม
ใจปรารถนา

     ในปัจจุบันนี้ มีผู้คนไม่น้อยที่ตั้ง
ตนเองเป็นนักบริโภคนิยม นิยมที่จะ
กินทุกอย่างตามที่ใจอยากจะกิน

     การกินโดยไม่คำนึงถึงผลที่อาจ
เกิดกับร่างกาย หรือกินโดยมีความ
พะวงเพียงน้อยนิดกับผลเสียที่อาจ
จะเกิดขึ้นหลังจากการกิน แต่จาก
นั้น ก็ยังคงกินมากตามปกติ

     เช่นนี้อาจส่งผลให้ผู้ที่นิยมการ
บริโภคมีสภาพร่างกายที่ขยายออก
มามากขึ้นและมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

     จนเมื่อมารู้ตัวอีกครั้งความอวบ
หนาจากไขมันส่วนเกินก็กอดคอเดิน
มาด้วยกันกับเราแล้ว

     ดังนั้น ผู้ที่กำลังเริ่มคิดที่จะควบคุม
น้ำหนักหรือลดน้ำหนัก จึงพึงนึกถึงสิ่ง
ที่ตนเองกำลังจะกินว่า สิ่งเหล่านั้นพึง
นำเข้าปากมากหรือน้อยเพียงใด สิ่งที่
พึงระลึกอยู่เสมอคือ
     "ลดอาหารได้ก็ลดอ้วนได้"

     การลดอาหารไม่ได้หมายถึงการอด
อาหาร แต่หมายถึง การคุมอาหาร  ให้
ความสนใจกับอาหารที่จะกินแม้เป็นจาน
โปรด

     การอดอาหารไม่เคยส่งผลดีให้กับผู้
ที่อดอาหารความหิว ความอยากอาหาร
จะทำให้ผู้ที่อดอาหารเกิดความเครียด
และเสียสุขภาพจิตอย่างแรง

     นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดผู้ที่ลดน้ำ
หนักโดยการอดอาหาร เมื่อสามารถที่
จะลดน้ำหนัก ลงได้ตามที่ตนต้องการ
หรือเพียงอดอาหารได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็
ล้มเลิกความตั้งใจ หันกลับไปจับมือกับ
เจ้าไขมันเกลอเก่า เชื้อเชิญให้กลับเข้า
มาพอกทับส่วนต่างๆของร่างกายได้อีก
ครั้ง และในครั้งนี้อาจจะหนักกว่าเดิม
อีกด้วย

     ลักษณะนี้ ผู้ที่ลดความอ้วนรู้ดีว่า
มันคือการเหวี่ยงกลับมาอ้วนเผละ ยิ่ง
กว่าเก่า ภายหลังการพยายามลดความ
อ้วนด้วยวิธีการอดอาหาร หรือ
ที่เรียกกันว่า "โยโย่เอฟเฟ็ค"
( YOYO  EFFECT)

     วิธีที่ดีที่สุดของผู้ที่คิดจะลดอ้วน คือ
การเลือกที่จะกินอาหาร  ลดการกินอาหาร                                  ที่จะกลายเป็นไขมันสวนเกิน และไม่กิน


    ทุกอย่างตามใจปาก
    โดย"ไม่ควรอดอาหาร"
     ซึ่งในเรื่องนี้คนจีนได้
     กล่าวถึงการกินอาหาร

กับสุขภาพที่ดีไว้ว่า "ในตอนเช้าเราควรกิน
อย่างราชา กลางวันกินอย่างเศรษฐี ส่วน
ตอนเย็นนั้นให้กินอย่างยาจก"

     เช่นนี้ก็คงไม่ต้องตีความกันอีกแล้วว่า
ในวันหนึ่งๆเราควรกินอาหารกันอย่างไร
                                   
🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶🐶
   
     สิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะทำธุรกิจคือการมี "BRAND"
PipSS (Professional ip Super Service)
ทีมงานที่มีผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์   ด้านการพิจารณารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามากว่า 20 ปี  เราบริการให้

คำปรึกษา รับตรวจสอบและจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้า ครบวงจร
สนใจติดต่อ ☎ 085 - 3697956