วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ไม่มีที่ยืนในสังคม
เป็นคนก็ว่าอยู่ยากแล้ว เป็นคนที่ใครก็เหม็น
หน้ายิ่งอยู่ยากกว่า เพราะคนเป็นสัตว์สังคม
เลยนึกว่าตัวเองมีสังคมอยู่แค่ สังคมเดียว
รู้หรือไม่ว่า เราสวมหมวกกี่ใบ (เรามีบท
บาทใน สังคมกี่บทบาท) เราก็มีสังคมตาม
จำนวนหมวก นั่นแหละ ไม่พอใจแบบไหนก็
เปลี่ยนได้เสมอ
สังคมไหน ไม่เสวนาด้วย เราก็ไปเสวนา
กลุ่มอื่น คนเราก็มี โชคดีตรงนี้ละ เปลี่ยนได้
แก้ไขได้ เดินทางไหนไม่เวิร์ค ก็เปลี่ยนทาง
เดินใหม่ ยึดติดให้เป็นทุกข์ไปไย
Be Happy!!! 🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶🎶
ไม่มีที่ยืนในสังคม
คำๆนี้ฟังดูเหมือนจะร้ายกาจมากเสีย
เหลือเกิน หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็น
คำตัดสินประหาร ชีวิตของคนๆนั้นไปเลย
แต่เราลองมาดูความหมายของคำว่าสังคม
กันก่อน
สังคมตามความหมายในพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง คนจํานวนหนึ่งที่มี
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบกฎเกณฑ์
โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญร่วมกัน เช่น สังคมชนบท
วงการหรือสมาคมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น
สังคมชาวบ้าน
สังคมของมนุษย์เกิดจากกลุ่มบุคคลที่มีความ
สนใจร่วมกันไม่ว่าจะในด้านใด เช่น ประเทศ
จังหวัด และอื่นๆ
และมักจะมีวัฒนธรรมหรือประเพณีรวมถึง
ภาษา การละเล่นและอาหารการกินของตนเอง
ในแต่ละสังคม
จากความหมายเหล่านี้ หมายความว่า การ
จะเป็นสังคมนั้น จะต้องประกอบด้วยตั้งแต่สอง
คนขึ้นไปถึงขั้นมากมาย ตั้งแต่ระดับครอบครัว
ถึงระดับประชาคมโลก
ในสังคมหนึ่งๆจะประกอบด้วยผู้คนที่หลาก
หลาย ประกอบด้วยคนที่มีพื้นฐานต่างกัน แต่
อาจจะมีแนวคิดที่คล้ายกัน
การยึดมั่นในพื้นฐาน ที่สังคมกำหนดจึงมี
มากน้อยต่างกัน และอาจจะ ถึงขั้นแปลกแยก
แตกต่างจากคนอื่นๆในสังคม
ด้วยเหตุที่โลกใบนี้มีสังคมมากมายหลาย
ประเภท คนๆหนึ่งอาจเข้าไปอยู่ในสังคมได้
มากกว่าหนึ่ง
แม้ว่าใครคนหนึ่งจะทำเรื่องที่่ผิดใจคนส่วน
ใหญ่ในสังคม และเขาถูกคนส่วนใหญ่ในสังคม
นั้นประนามหยามเหยียด ก็หาใช่ว่าจะทำให้ใคร
คนนั้นถูกตัดจากโลกไปโดยสิ้นเชิงไม่
เพราะแม้สังคมหนึ่งจะไม่ชื่นชอบการกระทำ
ของเขา แต่อาจจะยังมีสังคมอื่นที่ชื่นชมและยก
ย่องการการทำของเขา
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าไม่มีที่ยืนในสังคมจึงเป็น
คำพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของ
ตนเอง เป็นคำพูดที่เกินจริงแลัทำให้ผู้อื่นต้องตก
เป็นเหยื่อ
หากผู้พูดเป็นคนอื่น ก็จะเป็นคำพูดที่ผู้พูด
เจตนาที่จะทำให้ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ตก
"เป็นเหยื่อ"
เป็นคำพูดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเกิด
ความรู้สึกผิดที่ไม่ยอมรับต่อพฤติกรรม ที่คน
ส่วนใหญ่นั้นไม่ชื่นชอบ
คนเราไม่ได้เป็นสังคม และสังคมก็ไม่ใช่
ใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนที่อยู่ในสังคม พึงจะ
ต้องยอมรับในกฎเกณฑ์ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ
และปฎิบัติ หากไม่เห็นด้วย เขาก็ยังสามารถที่
จะหาสังคมอื่นเพื่อเข้าไปร่วมสังคมนั้นได้
และในชีวิตจริงของแต่ละคน พวกเขาก็
ไม่ได้ คลุกคลีตีโมงอยู่แต่กับคนเพียงกลุ่มเดียว
สังคมของแต่ละคนจะมีมากมายและแตกต่างกัน
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องดึงดันที่จะอยากอยู่ใน
สังคมที่คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมต่างไปจากเรา
และเพราะว่าเราสามารถที่จะเลือกได้ว่าเรา
อยากจะอยู่ในสังคมแบบไหน หาสังคมใหม่ที่
ประกอบด้วยผู้คนที่เหมาะกับเราจะดีกว่า
เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง อยู่ในโลกใบนี้
และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
หาสังคมที่มีผู้คนที่มีความคิดใกล้เคียงกับเรา
อย่าดึงดันที่จะอบู่ในสังคมที่แปลกจากต่างเรา
แล้วมานั่งตัดพ้อต่อว่าด้วยคำพูดว่า
"คนในสังคมนั้นจะไม่ยอมรับพฤติกรรมของ
เรา และไม่ให้เราได้มีที่ยืนอยู่ในสังคมบ้างเลยหรือ"
"จะให้ไปอยู่ดวงจันทร์หรืออย่างไร?"
ขอบอกว่า หากจะไป
อยู่ในสังคมดวงจันทร์ก็ได้
โปรดศึกษาดูก่อนว่า มนุษย์
โลกพระจันทร์ เขามีแนวทาง
สำหรับจะ อยู่ในสังคมพวกเขา
อย่างไร จะได้ไม่ต้องมีเหตุให้ต้องตัดพ้ออีกว่า
"ไม่มีที่ยืนในสังคมโลกพระจันทร์"
ข้อคิดสำหรับวันนี้
"ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ถ้าอยาก
อยู่ในสังคมที่เขาไม่ยอมรับพฤติกรรม เดิมๆของ
เรา หรือ คบคนกลุ่มใหม่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมใกล้เคียงกับเราและยอมรับเรา
ได้จะดีกว่า ไม๊?"
Siriwan
14 พย. 59
#ไม่มีที่จะยืนในสังคม #ไปยืนบนดวงจันทร์
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
"โลกนี้ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่มีพฤติกรรม
ไม่ดีเท่านั้น" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรด่าใครว่า
"ไอ้เลว" ใช่มะ แต่ ให้ด่าว่า "ไอ้พฤติกรรม
ไม่ดี" แทน 😁😁😁
🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
มีคำกล่าวว่า "คนเราทุกคนเกิดมาเป็นคน
ดี ในโลก ใบนี้ไม่มีคนเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติ
กรรมไม่ดีเท่านั้น"
พฤติกรรมคือการปฎิบัติตนเช่นนั้นบ่อยๆจน
กลายเป็นความเคยชิน พฤติกรรมของมนุษย์
เกิดจากพื้นฐานความเป็นตัวตนของเขา ตั้งแต่
เขาอยู่ในครรภ์มารดา ยีนส์ที่ได้รับมาจาก บิดา
มารดา สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมา และ
สภาพสังคมที่พวกเขาคลุกคลี
เหล่านี้จะหล่อหลอมกระบวนการทางความ
คิดของพวกเขา นำไปสู่การมีพฤติกรรมต่างๆ
ของพวกเขา
ดังนั้นในตัวของบุคคลหนึ่งๆ เขาจะแสดง
ปฎิกิริยา ตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากประสบการณ์ที่ เขาเคยพบเห็นมาก่อน
และเก็บเป็นข้อมูลไว้
เพราะ ข้อมูลที่แต่ละคนมีนั้นต่างกัน การ
แสดงออกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างกันไป
ในสถานการณ์เดียวกัน คนเราจะมีท่าทีที่ตอบโต้
ต่อเหตุการณ์นั้นต่างกันไป
เช่นในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง พ่อพาลูกชาย
ไปซื้อของ ลูกชายในวัยซนเล่นซนเสียงดังผู้เ
ป็นพ่อพยายามจะปรามแต่ลูกชายยังคงทำ
เสียงดัง ผู้เป็นพ่อฟาดเพี๊ยะ ภาพนี้อยู่ในสาย
ตาของหลายคนที่อยู่บริเวณนั้น
หนุ่ม ก. มองภาพนั้นด้วยสายตาเฉยเมย
ไม่ได้ รับรู้อะไร
สาว ข. มองภาพนั้นอย่างเห็นด้วย เธอ
พยักหน้า เล็กน้อย รู้สึกว่าพ่อสั่งสอนลูก
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สาว ง. เธอถลึงตามองผู้เป็นพ่อคนนั้น
เธอรู้สึก เจ็บปวด เคียดแค้นที่เห็นเด็กถูกตี
คนสามคนมองเหตุการณ์นั้นด้วยมุมมอง
ที่มาจาก ข้อมูลที่พวกเขาเก็บไว้ คนที่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่มีครอบครัวเด็กเล็ก เล่นซน
การเห็นพ่อแม่ตีลูกอาจเป็นเรื่องปกติ
หรือจากประสบการณ์ที่อีกคนหนึ่งเคย
ได้รับมา เขาอาจจะเคยถูกลงโทษเช่นนี้
และรู้สึกว่าเขาไม่ได้ รับความยุติธรรม เมื่อ
เห็นภาพที่คล้ายกับประสบการณ์ ที่เขา
เคยได้รับ มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้กับ
เขา ทำให้เขาแสดงความเคียดแค้นต่อผู้
เป็นพ่อคนนั้น
เพราะเหตุนี้จึงได้มีคำพูดว่า ในโลกใบนี้
ไม่มีใครเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติกรรมไม่ดี
เท่านั้น
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามักจะพบ
แต่คนที่ ตัดสินคนอื่นอยู่เสมอๆ นั่นแสดงว่า
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นจากพื้นฐาน
ชีวิตของแต่ละคน
เรื่องนี้เป็นธรรมดาโลก และเรื่องนี้ก็ทำให้
โลกใบนี้ประกอบด้วยผู้คนที่น่าสนใจมากมาย
อยู่ร่วมรวมกันเป็นสังคมซึ่งมีขอบเขต กำหนด
ให้คนสามารถแสดงพฤติกรรมของตนได้อย่าง
อิสระเสรี โดยอยู่ในข้อบังคับที่ไม่เกินเลยจน
ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ของเขา
โดยเป็นข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันอย่าง
สงบสุข ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
การคิดต่างกันของคนในสังคม จะสามารถ
ทำ ให้ประเทศชาติมีการพัฒนาไปได้ หากการ
คิดต่างนั้นสามารถจรรโลงให้สังคมเกิดความ
สงบสุขและพัฒนาต่อไปได้
แต่หากว่าการคิดต่างนั้นผิดจากกฎข้อ
บังคับเพื่อ ความสงบสุขแห่งการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมที่คล้ายกัน คนที่ คิดต่างอาจพบเจอ
กับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างคาด ไม่ถึงได้
มนุษย์นั้นสามารถทำผิดได้ ข้อดีของการ
เป็นมนุษย์คือ พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยน
กระบวนคิดและปรับเปลี่ยนทิศทางของพฤติ
กรรมได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ
ดังนั้น คิดต่างคิดได้ แต่หากผู้ที่คิดต่าง
จากคนอื่นประสบผลที่เขาไม่ต้องการและเป็น
ปัญหาสำหรับตัวเอง เขาก็สามารถจะแก้ไข
ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมตัวเอง
ได้เสมอ ตลอดเวลา
คนเราทุกคนสามารถที่เปลี่ยนความคิด
และเปลี่ยน พฤติกรรมได้ตลอดเวลาที่ต้อง
การ ขึ้นอยู่กับ "การตัดสินใจ" ของแต่ละ
คนว่า ต้องการจะให้ชีวิต ของตนเองเป็น
อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็น
คนอย่างไร เขาเองจะต้องเป็นคนที่รับผิด
ชอบในผลที่เกิดขึ้น จากการตัดสินใจของ
เขาเอง
รับผิดชอบคือการปฎิบัติตนตามที่ได้
ตัดสินใจและยอมรับในผลที่เกิดขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แห่งตน เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไข
เพื่อตัวของเขาเอง
เราทุกคนต้องรับผิดชอบ "ผลลัพธ์"
ที่ได้จากการตัดสินใจของตนเอง
ไม่ดีเท่านั้น" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรด่าใครว่า
"ไอ้เลว" ใช่มะ แต่ ให้ด่าว่า "ไอ้พฤติกรรม
ไม่ดี" แทน 😁😁😁
🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠🐠
ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องรับผิดชอบ
มีคำกล่าวว่า "คนเราทุกคนเกิดมาเป็นคน
ดี ในโลก ใบนี้ไม่มีคนเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติ
กรรมไม่ดีเท่านั้น"
พฤติกรรมคือการปฎิบัติตนเช่นนั้นบ่อยๆจน
กลายเป็นความเคยชิน พฤติกรรมของมนุษย์
เกิดจากพื้นฐานความเป็นตัวตนของเขา ตั้งแต่
เขาอยู่ในครรภ์มารดา ยีนส์ที่ได้รับมาจาก บิดา
มารดา สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมา และ
สภาพสังคมที่พวกเขาคลุกคลี
เหล่านี้จะหล่อหลอมกระบวนการทางความ
คิดของพวกเขา นำไปสู่การมีพฤติกรรมต่างๆ
ของพวกเขา
ดังนั้นในตัวของบุคคลหนึ่งๆ เขาจะแสดง
ปฎิกิริยา ตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากประสบการณ์ที่ เขาเคยพบเห็นมาก่อน
และเก็บเป็นข้อมูลไว้
เพราะ ข้อมูลที่แต่ละคนมีนั้นต่างกัน การ
แสดงออกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างกันไป
ในสถานการณ์เดียวกัน คนเราจะมีท่าทีที่ตอบโต้
ต่อเหตุการณ์นั้นต่างกันไป
เช่นในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง พ่อพาลูกชาย
ไปซื้อของ ลูกชายในวัยซนเล่นซนเสียงดังผู้เ
ป็นพ่อพยายามจะปรามแต่ลูกชายยังคงทำ
เสียงดัง ผู้เป็นพ่อฟาดเพี๊ยะ ภาพนี้อยู่ในสาย
ตาของหลายคนที่อยู่บริเวณนั้น
หนุ่ม ก. มองภาพนั้นด้วยสายตาเฉยเมย
ไม่ได้ รับรู้อะไร
สาว ข. มองภาพนั้นอย่างเห็นด้วย เธอ
พยักหน้า เล็กน้อย รู้สึกว่าพ่อสั่งสอนลูก
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สาว ง. เธอถลึงตามองผู้เป็นพ่อคนนั้น
เธอรู้สึก เจ็บปวด เคียดแค้นที่เห็นเด็กถูกตี
คนสามคนมองเหตุการณ์นั้นด้วยมุมมอง
ที่มาจาก ข้อมูลที่พวกเขาเก็บไว้ คนที่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่มีครอบครัวเด็กเล็ก เล่นซน
การเห็นพ่อแม่ตีลูกอาจเป็นเรื่องปกติ
หรือจากประสบการณ์ที่อีกคนหนึ่งเคย
ได้รับมา เขาอาจจะเคยถูกลงโทษเช่นนี้
และรู้สึกว่าเขาไม่ได้ รับความยุติธรรม เมื่อ
เห็นภาพที่คล้ายกับประสบการณ์ ที่เขา
เคยได้รับ มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้กับ
เขา ทำให้เขาแสดงความเคียดแค้นต่อผู้
เป็นพ่อคนนั้น
เพราะเหตุนี้จึงได้มีคำพูดว่า ในโลกใบนี้
ไม่มีใครเลว จะมีก็แต่คนที่มีพฤติกรรมไม่ดี
เท่านั้น
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามักจะพบ
แต่คนที่ ตัดสินคนอื่นอยู่เสมอๆ นั่นแสดงว่า
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นจากพื้นฐาน
ชีวิตของแต่ละคน
เรื่องนี้เป็นธรรมดาโลก และเรื่องนี้ก็ทำให้
โลกใบนี้ประกอบด้วยผู้คนที่น่าสนใจมากมาย
อยู่ร่วมรวมกันเป็นสังคมซึ่งมีขอบเขต กำหนด
ให้คนสามารถแสดงพฤติกรรมของตนได้อย่าง
อิสระเสรี โดยอยู่ในข้อบังคับที่ไม่เกินเลยจน
ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ของเขา
โดยเป็นข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันอย่าง
สงบสุข ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
การคิดต่างกันของคนในสังคม จะสามารถ
ทำ ให้ประเทศชาติมีการพัฒนาไปได้ หากการ
คิดต่างนั้นสามารถจรรโลงให้สังคมเกิดความ
สงบสุขและพัฒนาต่อไปได้
แต่หากว่าการคิดต่างนั้นผิดจากกฎข้อ
บังคับเพื่อ ความสงบสุขแห่งการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ที่มีความคิดและ
พฤติกรรมที่คล้ายกัน คนที่ คิดต่างอาจพบเจอ
กับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างคาด ไม่ถึงได้
มนุษย์นั้นสามารถทำผิดได้ ข้อดีของการ
เป็นมนุษย์คือ พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยน
กระบวนคิดและปรับเปลี่ยนทิศทางของพฤติ
กรรมได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ
ดังนั้น คิดต่างคิดได้ แต่หากผู้ที่คิดต่าง
จากคนอื่นประสบผลที่เขาไม่ต้องการและเป็น
ปัญหาสำหรับตัวเอง เขาก็สามารถจะแก้ไข
ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมตัวเอง
ได้เสมอ ตลอดเวลา
คนเราทุกคนสามารถที่เปลี่ยนความคิด
และเปลี่ยน พฤติกรรมได้ตลอดเวลาที่ต้อง
การ ขึ้นอยู่กับ "การตัดสินใจ" ของแต่ละ
คนว่า ต้องการจะให้ชีวิต ของตนเองเป็น
อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็น
คนอย่างไร เขาเองจะต้องเป็นคนที่รับผิด
ชอบในผลที่เกิดขึ้น จากการตัดสินใจของ
เขาเอง
รับผิดชอบคือการปฎิบัติตนตามที่ได้
ตัดสินใจและยอมรับในผลที่เกิดขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แห่งตน เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไข
เพื่อตัวของเขาเอง
เราทุกคนต้องรับผิดชอบ "ผลลัพธ์"
ที่ได้จากการตัดสินใจของตนเอง
วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันนี้คุณพูดกับตัวเองอย่างไร?
เขาเป็นคนเงียบๆ เขาเป็นคนช่างพูด พูดตลอดเวลาจนน้ำไหลไฟดับ คนสองคนนี้แตกต่างกันอย่างมากใช่หรือไม่?
บุคลิกภายนอกของคนทั้งคู่อาจมีความแตกต่างกัน ในด้านของการแสดงออกว่าเป็นคนเงียบๆหรือเป็นคนช่างพูด
แต่สิ่งที่เป็นจริงอยู่ภายในร่างกายของเขาทั้งคู่เหมือนกัน นั่นคือ เขาเป็นคนช่างพูด ศาสตร์ของ
NLP (Neuro Linguistic Programming) กล่าวว่า คนเราพูดกับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยเสียงและการพูดด้วยภาพ และมันน่าแปลกใจที่สุดว่าคนเรามักจะพูดกับตัวเองอย่างตำหนิติเตียนมากกว่าจะพูดชมเชยตัวเอง
หลายคนมีไอดอลประจำตัว ให้ชื่นชมความเก่งกล้า แต่เขากลับไม่เคยเห็นความเก่งกล้าของตนเอง ไม่เคยชื่นชมตนเองเลย
อย่างเช่นคนที่อกหัก คนอกหักจะมีพฤติกรรมที่เหมือนๆกันอย่างหนึ่งคือ "การตำหนิตนเอง"
เขาอาจจะด่าคนที่หักอกเขาแต่ผลสุดท้ายมักจะลงเอยด้วยการประนามตัวเอง่ที่ไม่สามารถรั้งคน
ที่เขา"คิดว่ารัก" ให้อยู่กับเขาได้
อกหักไม่ทำให้ตาย แต่คนอาจตายเพราะคิดว่าตัว อกหัก "อกหัก" ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยามว่า อกหัก คือ พลาดหวัง (มักใช้ในด้านความรัก)
อาการอกหักก็คือ อาการที่คนๆหนึ่งพลาดหวังในด้านความรัก อาการนี้ไม่มีรูปแบบตายตัวว่า
ต้องเป็นอย่างไร
มันเป็นจินตนาการล้วนๆของผู้คิดว่าตนเองอกหักและคิดจินตนาการว่าเขาจะต้องมีอาการเป็นอย่างไร
อาการภายนอกที่คนพลาดรักแสดงออกมาอาจจะแตกต่างกันตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล เช่นบางคนอาจจะฟูมฟายน้ำตา บางคนอาจจะกินเหล้าดับทุกข์ หรือบางคนอาจจะแสดงพฤติกรรม
ที่ตรงข้ามกับความรู้สึก เช่น ฮาเฮจนเกินเหตุ
แต่อาการสำคัญที่่คนที่อกหักพลาดรักจะต้องมีเหมือนกันหมดทุกคน เป็นอาการที่เกิดขึ้นภาย
ในตัวของพวกเขาเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะรู้สึกตัวเองหรือไม่ก็ตาม
นั่นคือ"การตำหนิตัวเอง" เช่น เรา"ไม่ดี" ตรงไหนเค้าถึงไม่รัก
เรา"ไม่สวย/ไม่หล่อ" ถูกใจเค้าหรือไง "เรามันแย่" เค้าเลยไปมีใหม่
สรุปคือ เราคนเดียว "ที่แย่ ที่ผิด ที่ไม่เอาไหน ที่ไม่ดีพอ ที่ยากจนเกินไป
...เราเลวร้ายที่สุดจึงทำให้คนไม่รัก ทำให้คนไม่สนใจ ทำให้เค้าทิ้งเราไป เรามันแย่....
อาการสำคัญนี้จะเกิดภายในตัวเขาคนนั้นแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
มันทำให้เขาแสดงออกถึงการฟูมฟาย การตัดพ้อ การเศร้าสร้อย และถ้า เขายังคงไม่เบื่อที่จะพูดเสียดแทงใจตัวเขาเอง
เขาก็อาจตายได้จากการที่คิดว่าการพลาดรักของเขาเกิดจากความ "แย่" ของเขาเอง
คนเรามักจะพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับคนอื่น เรียกกันว่า Self talk แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อยที่ สิ่งที่เราบอกกับตัวเองแทบทุกวันส่วนใหญ่มักจะเป็นการตำหนิตัวเอง เหตุใดในขณะที่เราชื่นชมยกย่องคนอื่น เรากลับกดขี่ ข่มเหงด้วยการดุว่าตัวเองทุกวัน
ศาสตร์ในยุคใหม่บางแขนง จึงได้มีการแนะนำให้มีการคิดเชิงบวก เพื่อจะได้พูดกับตนเองใน
สิ่งที่ดีๆ เพื่อโปรแกรมสมองและจิต (NLP) เนื่องจากว่าตัวตนของคนเราจะรับฟังในสิ่งที่ตนเอง
พูดมากกว่าจะฟังคนอื่นพูดเสียอีก
ดังนั้นการพูดกับตัวเองในสิ่งที่ดี พูดย้ำซ้ำๆบ่อยๆ ตัวตนของคนเราก็จะเชื่อฟังและนำพาตัวเขา
คนนั้นเองไปสู่สิ่งที่ดีสำหรับเขาได้ แต่ก็เป็นธรรมดาที่สุดเหมือนกันว่า ขณะที่คนเราพยายามพูดกับ
ตนเองในสิ่งที่ดีๆ ก็จะมีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในสมองของเขาคอยพูดไปพร้อมๆกันด้วย
หากเขาบอกกับตัวเองว่า ฉันแข็งแรง อาจจะมีอีกเสียงหนึ่งที่แทรกขึ้นมาว่า แกจะแข็งแรงไปได้
ยังไงในเมื่อแกขาเป๋ แกมันเป็นไอ้เป๋ อีกสิบชาติแกก็ไม่แข็งแรง แกมันแย่....(ตำหนิตัวเองมากกว่าชื่นชม?) แล้วเขาก็จะฟังเสียงนี้
เขาจะเชื่อ...และเชื่อว่าเขาเป็นคนขาเป๋ที่อ่อนแอ น่าเวทนาสงสาร และเขาก็จะปฎิบัติตนเป็นคนที่อ่อนแอไร้ความสามารถไปจริงๆ เช่นเดียวกับอาการพลาดรักของหลายๆคน เขาจะซมซาน เจ็บปวดกับความผิดหวัง ด้วยการพูดย้ำกับตัวเองตลอดเวลา ถึงความไร้ค่าของตนเอง และอีกมากมาย ที่ทำให้เขาไม่อยากมีตัวตนในโลกใบนี้ต่อไปแล้ว เพราะเขาช่างไร้ค่า ใครๆก็ไม่รัก เขาจะดูถูกตัวเอง เหยียบย่ำตัวเอง เป็นเดือน เป็นปี ช่างเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งจริงๆ
คนที่พลาดรัก ผิดหวัง มักจะตัดสินใจว่าตนเองเป็นคนไม่มีคุณค่า และจะตอกย้ำความไร้ค่าให้กับตัวเองอย่างโหดร้าย หากเขามีสติพอที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วมองเข้าไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วบอกตัวเองว่า จบเป็นจบ เดี๋ยวเราก็จะได้พบคนที่ใช่ของเราจริงๆ คนที่เรารักเขาจริงๆที่ไม่ใช่คนนี้ สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี เป็นทุนที่จะได้ใช้ในภายหน้า เขาก็จะมีอาการค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ
การจะฟื้นคืนสภาพจากการอกหักรักคุด กลับไปเป็นคนเดิมที่สดใส จะใช้เวลานานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะมี Self talk กับตัวเองอย่างไร บางคนอาจจะพอใจที่จะตอกย้ำทำร้ายตัวเองซ้ำๆซากๆคนผู้นั้นก็จะคืนสภาพได้ช้ามาก อาจจะใช้เวลานานนับปีหรือหลายปี ซึ่งจะทำให้เขามีชีวิตที่ไม่มีชีวา อยู่อย่างปราศจากความสุขไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ถ้าคนผู้นั้นเบื่อที่จะทำร้ายตัวเอง แล้วหันมาพูดกับตัวเองด้วยข้อมูลอย่างอื่นบ้าง ชื่นชมตัวเองให้มากขึ้น เลิกฟังเสียงเล็กๆที่คอยค้านในเวลาที่เขาพูดดีๆกับตัวเอง เวลาที่เขาชื่นชมตัวเอง แทนการพูดตำหนิตัวเอง เขาก็จะเป็นผู้มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นได้
มีคำพูดว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของคนๆหนึ่งมันสั้นนัก เขาจะผจญ
กับความทุกข์ในใจได้นานเพียงใด และเหตุใดคนๆนั้นจึงต้อง
ทำร้ายตัวเองด้วยการตำหนิ ว่ากล่าวตัวเองตลอดเวลา
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานตามธรรมชาติของมนุษย์นี้ เรื่องที่ดี
มีความสุขควรเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องพึงมีและพึงเป็น
พูดคุยกับตนเองด้วยคำพูดที่สร้างความ สดชื่นแจ่มใส เพื่อเพิ่ม
พลังชีวิตให้สดใส
รักตัวเองให้มากๆ จะดีกว่า ชื่นชมความเป็นตัวตนเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะยืดหยัดกับคนผู้นั้นตลอดเวลาทุกลมหายใจของการมีชีวิต ตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เหมือนกับใครในโลกใบนี้ คนเราต้องให้ความรักและสร้างความนับถือตัวเองให้มาก
แล้วเขาคนนั้นจะไม่มีวันรู้สึกพลาดหวังในความรัก เพราะเขามีมันมากมายอยู่แล้ว เขาจะไม่โหยหาความรักจากคนอื่นจนต้องผิดหวังเมื่อไม่ได้รับความรักจากใคร แล้วเขาจะพูดได้อย่างสบายใจว่า "อกหัก..ก็ ไม่ยักกะตาย"
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรมขึ้นอยู่กับอะไร?
พูดถึงโมเดลสมรรถนะของข้าราชการ
พลเรือน ซึ่งกำหนดให้ข้าราชการต้องมี
การดำรงตนและประพฤติปฎิบัติอย่างถูก
ต้องเหมาะสมทั้งตามกฎหมาย คุณธรรม
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพและจรรยา
ข้าราชการ เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็น
ข้าราชการ โดยกำหนดค่าสมรรถนะไว้
ห้าอย่าง
และหนึ่งในนั้นคือสมรรถนะตัวที่ 4 ที่
ให้ ข้าราชการต้องมีความถูกต้อง ชอบธรรม
และจริยธรรมอยู่ในระดับแห่งการคาดหวัง
ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ
แต่ละระดับจะมีความยากขึ้น หมายความ
ว่า ข้าราชการระดับปฎิบัติการ อยู่ในระดับ
แรก และระดับที่สูงถึงขั้นผู้บริหารจะต้องอยู่
ในความคาดหวังระดับห้า
ความหมายของระดับของความคาดหวัง
ระดับ 0 : ข้าราชการผู้นั้นไม่แสดงสมรรถนะ
ในด้านนี้คือ ไม่ได้แสดงออกว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ยึด
มั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
ระดับ 1 : มีความสุจริต เช่นปฎิบัติหน้าที่
ด้วยความสุจริตแสดงความคิดเห็นตามหลัก
วิชาชีพอย่างสุจริต
ระดับ 2 : มีความสุจริตตาม 1 และยังต้องมี
สัจจะเชื่อถือได้คือ รักษาคำพูดแสดงให้ปรากฎ
ถึงความมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ
ระดับ 3 : ต้องมีระดับ 1 2 และยังต้องมีการ
ยึดมั่นในหลักการ คือ ยึดมั่นในหลักการจรรยา
บรรณแห่งวิชาชีพ และจรรยาข้าราชการ ไม่
เบี่ยงเบนด้วยอคติหรือผลประโยชน์เสียสละ
ความสุขส่วนตน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทาง
ราชการ
ระดับ 4 : ต้องมีระดับ 1 2 3 และยังต้อง
ยืนหยัดในความถูกต้อง มุ่งพิทักษ์ผลประโยชน์
ให้ทางราชการ ปฎิบัติหน้าที่ราชการด้วยความ
ถูกต้อง เป็นธรรม
ระดับ 5 : ต้องมีระดับ 1 2 3 4 และยัง
ต้องอุทิศตนเพื่อความยุติธรรม ยืนหยัดพิทักษ์
ผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศชาติแม้
ในสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อความมั่นคงใน
ตำแหน่งหน้าที่การงานหรืออาจเสี่ยงภัยต่อ
ชีวิต
(ข้อมูลจากคู่มือสมรรถนะหลักฯในข้าราชการ
(ข้อมูลจากคู่มือสมรรถนะหลักฯในข้าราชการ
พลเรือน)
ด้วยหลักการนี้ แม้จะเป็นสมรรถนะเพียง
ข้อเดียว หากว่าข้าราชการผู้ใดทำได้ นั่นย่อม
ต้องสร้างความยอดเยี่ยมและสุดยอดในวง
ราชการเป็นอย่างมาก
เพราะเขาจะเป็นข้าราชการในอุดมคติ
และ่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ
แต่น่าเสียดายที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะแม้ว่าหลักการจะยอดเยี่ยม แต่ผู้ปฎิบัติ
ไม่สามารถทำให้หลักการที่ยอดเยี่ยมนี้ทะยาน
สู่ความสำเร็จได้ตามที่คาดหวัง
เพราะปัจจัยสำคัญที่ว่าผู้ปฎิบัติเป็นมนุษย์
ที่หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นธรรมดา
โลก จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครมองใครด้วย
สายตาที่ไม่เอนเอียง
ดังนั้นสมรรถนะที่ตั้งไว้แม้จะเป็นหลักการ
ที่ดี แต่พฤติกรรมของมนุษย์เอง พาลทำให้
หลักการนี้กลายมาเป็นเครื่องมือที่สร้างความ
สุขให้กับใครเพียงบางคน และสร้างความขม
ขื่นใจให้กับใครอีกหลายๆคน
เพราะมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้เอง ความเป็น
สัตว์สังคมทำให้พวกเขาต้องพยายามยึด
พรรคยึดพวกเอาไว้ การยึดพรรคยึดพวก
ทำให้พวกเขามองเห็นแต่คนในกลุ่มของ
ตัวเอง
เห็นแต่ความเลิศเลอของพรรคพวกตน
เอง จนเขาไม่เคยเห็นว่าคนนอกกลุ่มของตัว
เองมีการปฎิบัติตนตามหลักการ หรือยึดมั่น
ในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรมของ
ข้าราชการ และมีผลการปฎิบัติงานได้เป็นที่
น่าพึงพอใจ หรือไม่น้อยหรือมากเพียงใด
เขาจึงใช้เครื่องมือนี้เพียงเพื่อการส่งเสริม
พรรคพวกของตนเอง หรือคนที่ตนพึงพอใจ
เช่นการลดคะแนนความถูกต้องชอบธรรมและ
จริยธรรมต่ำกว่าระดับความคาดหวังเพื่อจะได้
มีคะแนนเพิ่มให้คนที่ตนอยากจะให้โดยไม่สนใจ
ที่จะมองความเป็นจริง ถึงการปฎิบัติตนของผู้นั้น
ว่า เขาไร้ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
"ต่ำ" จริงหรือไม่
ความจริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันทั่วไป
อยู่แล้วในวงการการทำงานเรื่องนี้คงเป็นความ
ยุติธรรมแล้วในสายตาของผู้คิดค้นหลักการนี้
ขึ้นมา
อีกทั้งยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ
ผู้ให้คะแนน ที่พอใจจะให้คะแนนคนในกลุ่มของ
ตัวเองอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องเกิดความรู้สึก
ตะขิดตะขวงใจอันใด
แต่เรื่องนี้อาจจะทำให้หลายคนที่บังเอิญไป
รู้ว่า คะแนน "ห่วย" เพราะส่วนหนึ่งตนถูกประเมิน
ว่า "เป็นคนไร้ความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม
ต่ำ" จะรู้สึกว่าตนเองถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น
สำหรับผู้ที่ต้องผิดหวัง "ทุกปี" เพราะคะแนน
ที่ "ห่วย" เขาย่อมรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่า เขา"ห่วย"
อย่างที่ถูกประเมิน หรือไม่
สำหรับผู้ที่ท้อแท้กับระบบเช่นนี้ ก็อยากให้
ทราบว่า "คุณค่าและศักดิ์ศรีของคนเรา ไม่ได้อยู่
ที่การตัดสินของคนอื่น"
แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองแต่เพียงผู้เดียว ที่จะบอก
กับตัวเองว่าในสถานการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเช่นนี้
มันทำลายศักดิ์ศรีของเราจริงหรือไม่ เพียงใด
หากเปรียบงานของเราเหมือนกับนกป่าใน
อุ้งมือ นกป่าจะไม่ขับร้องเพลงที่ไพเราะ เพราะ
ความตื่นกลัว
แต่หากเราเอาใจใส่เลี้ยงดูนกป่าตัวน้อยใน
อุ้งมือเราเป็นอย่างดี ตั้งอกตั้งใจดูแลใส่ใจและ
ให้อาหาร ไม่นาน นกป่าที่ตื่นกลัวในมือของเรา
ก็จะเริ่มร้องเพลงที่ไพเราะ
และเสียงที่ไพเราะมีความสุขนี้ก็จะเรียกร้อง
ดึงดูดให้นกป่าตัวอื่นๆเข้ามาหาเราและนกในมือ
ของเราอย่างสนใจ ว่าเราทำอย่างไรนกป่าในมือ
จึงร้องเพลงได้อย่างมีความสุข
ซึ่งก็คือหากเราปฎิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบ
อย่างตั้งใจ เต็มใจ เราจะเปล่งประกายในงานที่ทำ
ประกายนี้จะทำให้คนอื่นๆได้รู้และได้เห็น
เช่นนี้แล้วเพียงคะแนนที่แย่ๆ ไหนเลยจะดับ
รัศมีของเราได้ เพราะว่า...
"ไม่มีใครสามารถเลี้ยงนกในมือคนอื่นให้ร้อง
เพลงได้ นกอยู่ในมือใครเขาคนเดียวเท่านั้นคือ
คนที่จะเลี้ยงนกตัวนั้นให้ร้องเพลงที่ไพเราะให้เขา
และคนอื่นๆได้ฟัง"
เช่นเดียวกับการทำงาน ไม่มีใครทำให้งาน
ของคนอื่นโดดเด่นได้ ต่อให้ได้ผลคะแนนเต็ม
ร้อยก็ตาม
เขาคนนั้นต้องทำงานของเขาเองให้ดีด้วย
มิเช่นนั้น ผลพิสูจน์ในเรื่องนี้มันจะแสดงตัวออก
มาเอง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องใส่ใจ ว่า
ใครจะเป็นอย่างไร
"นกในมือของเราต่างหากที่น่าสนใจ ทำ
ให้มันร้องเพลงที่ไพเราะเพื่อตัวเราเองดีกว่า"
ปฎิบัติงานในหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ดำรงตน
อยู่ในความสัตย์ความดี และภาคภูมิใจในศักดิ์ศรี
แห่งตน และแน่ใจว่าตนเองมีความถูกต้องชอบธรรม
และมีจริยธรรมสูงพอที่จะเป็นข้าฯรับใช้ในพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว
จงพอใจกับผลงานของตนเองที่ได้ทำไว้ ดังพระ
ราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
แก่ผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติงานของตนอย่างดีแล้ว
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบแทบเบื้องพระบาท
รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ทั้งจักจารึกไว้เป็นสัจจะธรรม
ในการดำรงชีวิตและเพื่อใช้ในการปฎิบัติงาน ตาม
หน้าที่ต่อไป
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ตราบนิจนิรันด์
จะเดินตามรอยเท้า ของพ่อด้วยความตั้งใจ...
จะเติมเต็มความหมาย..ข้าราชการที่ดี...
ทดแทนคุณให้พ่อหลวงและแผ่นดิน...
S.Th
28 ตค. 58
จะเดินตามรอยเท้า ของพ่อด้วยความตั้งใจ...
จะเติมเต็มความหมาย..ข้าราชการที่ดี...
ทดแทนคุณให้พ่อหลวงและแผ่นดิน...
S.Th
28 ตค. 58
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ว้าว สุดยอดสมุนไพรไทย มีเยอะแยะมากมาย
พญายอ
ชื่ออันแสนไพเราะนี้เป็นชื่อเรียกของพรรณไม้ที่เป็นพุ่มแกมเถา เป็นไม้เลื้อย
พันพาดไปตามต้นไม้อื่นๆ มีลำต้นที่เกลี้ยงกลม ผิวเรียบเป็นปล้องสีเขียว มีใบเป็น
รูปเหมือนหอก ขอบใบเรียบและใบเป็นผิวเรียบ กลีบดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง
ดอกสีแดงส้มมีห้ากลีบแลดูสวยงาม
พญายอเป็นชื่อเรียกของสมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่าง
กันไปตามท้องถิ่น ซึ่งชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ที่เขียงใหม่ เรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า
ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด ชาวลำปาง รู้จักในนามของ พญาปล้องคำ ทาง
ภาคกลางเรียกว่า พญาปล้องดำ หรือ พญาปล้องทอง
และโดยที่มีพรรณไม้สองชนิดที่มีชื่อเรียกที่คล้ายกัน
คือเสลดพังพอนตัวผู้และเสลดพังพอนตัวเมีย ดังนั้นจึง
เป็นที่มาของการเรียกขานพรรณไม้ชนิดเสลดพังพอน
ตัวเมียโดยทั่วไปว่า "พญายอ"
พญายอหรือเสลดพังพอนตัวเมียนั้น มีสรรพคุณทางยา
ที่ดีกว่าเสลดพังพอนตัวผู้ ในตำรายาของไทยจึงนิยมนำเสลดพังพอนตัวเมีย
หรือ พญายอ มาทำเป็นยามากกว่า
สรรพคุณทางยาของพญายอนั้นมีมากมาย
มหาศาล สามารถใช้ทั้งต้นและใบเป็นยารักษาอาการ
ต่างๆได้มากมาย เช่น ทั้งต้นและใบ ใช้กินเป็นยาถอนพิษไข้
ดับพิษร้อน ใช้เป็นยารักษาโรคบิด ใช้เป็นยาแก้ปวดประจำเดือน
นำลำต้นมาฝนแล้วใช้ทาแผลสดช่วยให้หายเร็วขึ้น ใบของพญายอ
สามารถนำมาตำและพอกทาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลถูกสุนัขกัด แผลน้ำเหลืองเสีย
โรคผิวหนัง "รักษาสิว" เม็ดผดผื่นคันและอีกมากมาย
การนำพญายอมาทำเป็นทิงเจอร์รักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก มีวิธีการดังนี้
นำใบสดประมาณ 1 กิโลกรัม มาปั่นให้ละเอียด เติมแอลกอฮอร์ 70% ลงไป 1 ลิตร หมัก
ทิ้งไว้ 7 วัน นำไประเหยแอลกอฮอร์ออกด้วยการใช้เครื่องอังไอน้ำให้ปริมาตรลดลง
ครึ่งหนึ่ง ( ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยตรงอย่างเด็ดขาด) จากนั้นเติมกลีเซอรีน (glycerine
pure) ลงไปเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาพญายอ กลีเซอรีน ที่ได้มาใช้ทาแผลเริม
งูสวัด แผลร้อนในปาก และถอนพิษต่างๆได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพญายอมีมากมาย ข้อมูลสำคัญข้อหนึ่งมีการพบว่า
สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ที่ได้จากใบพญายอ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสที่
ทำให้เกิดอีสุกอีใสและยาที่สกัดจากใบพญายอจะไม่ทำให้เกิดการอักเสบหรือระคาย
เคืองกับผู้ใช้ และสามารถลดอาการอักเสบจากการเป็นแผลในปาก เริม งูสวัด ได้
เป็นอย่างดี และในปัจจุบัน องค์การเภสัชกรรมได้มีการผลิตครีม โลชั่น และ สาร
ละลาย จากพญายอ เพื่อใช้รักษาและบรรเทาโรคต่างๆออกมาให้ประชาชนได้
ใช้กันเป็นที่่เรียบร้อยแล้ว
S.Th
ข้อมูลจาก สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด สำนักโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมอันเนื่อง
มาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ
เสลดพังพอนตัวเมีย fynn.com
🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩🐩
สบู่สมุนไพร DeMaman เดอมามอง
ผลิตจากกลีเซอรีนชั้นเยี่ยมจากประเทศอังกฤษ
ผสมผสานด้วยสุดยอดสมุนไพร ฟักข้าว ทานาคา และ พญายอ
ช่วยให้ผิวนุ่มขุ่มชื่น ช่วยชลอวัย ต้านริ้วรอยแก่ก่อยวัย
รักษาสิว เม็ดผดผื่นคัน ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด
ใช้เป็นประจำจะช่วยสร้างความกระจ่างใสให้กับใบหน้า
สบู่ ฟักข้าว ทานาคา พญายอ
สุดยอดผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสวยกระจ่างใสจาก DeMaman เดอมามอง
น้ำหนัก 90 กรัม ราคาก้อนละ 200 บาท
สนใจสั่งซื้อ หรือเป็นตัวแทนจำหน่าย
📞 095 - 979 9241 หรือ line : 5337j
🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
หยดน้ำที่เกาะสบู่
ทำไมสบู่ที่ซื้อมาจึงมีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ???
คำถามที่มักจะได้ยินบ่อยๆจากผู้ที่ใช้สบู่ที่บอกว่าเป็นสบู่แฮนเมด แล้วอย่างนั้นมัน
หมายความว่าสบู่นั้นดีหรือไม่ดีกันแน่?.....
ต้นเหตุของการเกิดหยดน้ำเล็กๆกระจายอยู่ทั่วทั้งก้อนสบู่ ก็คือกลีเซอรีน แล้ว
กลีเซอรีนที่ว่านี้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร? ถ้าอย่างนั้นเรามารู้จักกับกลีเซอรีนให้ชัดๆอีกครั้ง
ดีกว่า กลีเซอรีนนั้นมักจะได้รับการกล่าวอ้างตลอดเวลากับสบู่ที่เป็นสบู่แฮนเมดหรือสบู่
ที่เป็นสบู่ธรรมชาติ กลีเซอรีนเป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืด และมีรสหวาน
โดยปกติมาจากน้ำมันของพืช ซึ่งโดยทั่วไปคือ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม คุณสมบัติ
ในตัวกลีเซอรีนเองมันสามารถละลายได้ดีทั้งในแอลกอฮอล์และน้ำ แต่ไม่ละลายในไขมัน
และเนื่องจากกลีเซอรีนมีคุณสมบัติทางเคมีที่หลากหลายจึงสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสาร
ตั้งต้นในการสังเคราะห์สารเคมีอื่นๆได้เป็นอย่างดี
ด้วยคุณสมบัติที่สามารถละลายในแอลกอฮอล์และน้ำได้นี่เอง กลีเซอรีนจึงถูกนำ
ไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในหลายรูปแบบ เช่น ใช้เป็นส่วนผสมหรือเป็นตัวช่วยใน
กระบวนการผลิตเครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำและสุขอนามัยส่วนบุคคล อาหาร
ยาสีฟัน ยาสระผม และนิยมใช้มากในอุตสาหกรรมสบู่ เพราะกลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อ
ลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับ
อากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น และรู้สึกให้ความอ่อนโยนต่อผิว ขจัดความ
สกปรกที่ฝังแน่น ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน รวมทั้งปลอดภัยต่อผิวหนังอีกด้วย
![]() |
กลีเซอรีนขุ่นและกลีเซอรีนใส |
การนำมาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะใช้เป็นสารตั้งต้นหรือสารเติม
แต่งทำให้กลีเซอรีนเป็นสารที่ได้รับความสนใจและนำ
ไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ด้วยการทำยาเหน็บทวาร
ใช้เป็นยาระบาย และยังสามารถใช้เป็นยาเฉพาะที่สำหรับปัญหาทางผิวหนังหลายชนิด
รวมถึง โรงผิวหนัง ผื่น แผลไฟลวก แผลกดทับ และบาดแผลจากของมีคม กลีเซอรีนถูก
ใช้เพื่อรักษาโรคเหงือกได้อีกด้วยเนื่องจากกลีเซอรีนสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้อง
ได้นั่นเอง
เมื่อได้รู้จักกับกลีเซอรีนกันแล้ว ก็มาถึงคำถามข้างต้น สบู่ที่มีหยดน้ำเกาะกระจาย
อยู่ทั่วทั้งก้อนนั้น เกิดจากกลีเซอรีนที่นำมาใช้ทำสบู่มีคุณสมบัติที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวสูง
ดังนั้นเมื่อแกะสบู่ออกเพื่อใช้ กลีเซอรีนสัมผัสถูกอากาศโดยตรงมันจึงดูดความชื้นใน
อากาศเข้ามา จึงทำให้เกิดหยดน้ำเล็กๆเกาะกระจายอยู่ทั่วก้อนสบู่ และยังอาจทำให้สบู่
ก้อนใสๆดูขุ่นขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ได้ทำให้สบู่ก้อนนั้นเสียคุณค่าไปแต่อย่างใด
วิธีที่จะเก็บรักษาสบู่ก้อนที่ทำด้วยกลีเซอรีน คือ เมื่อใช้สบู่แล้วไม่ควรวางไว้ใน
ภาชนะที่มีน้ำขังเพราะจะทำให้ก้อนสบู่ละลายเป็นของเหลว และจะหมดเร็วขึ้น สำหรับสบู่
ที่ยังไม่ได้ใช้ควรเก็บไว้ในที่แห้งและไม่ถูกต้องกับแสงแดด และควรต้องมีการห่อหุ้มไม่ให้
ตัวสบู่สัมผัสกับอากาศโดยตรงเพื่อกันการดูดความชื้นจากอากาศจากกลีเซอรีนนั่นเอง
รู้อย่างนี้แล้ว ท่านคิดว่าสบู่แฮนเมดที่ทำจากกลีเซอรีนเป็นสบู่ที่ดีหรือไม่??
S.Th
🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦🐦
DeMaman เดอมามอง
สบู่แฮนเมด สบู่ธรรมชาติ 100%
ผลิตจากกลีเซอรีนแท้จากประเทศอังกฤษ
เสริมคุณค่าด้วยสมุนไพรชั้นยอด
ช่วยชลอวัย ต้านริ้วรอยแก่ก่อนวัย (anti ageing) ทำให้ใบหน้าอ่อนนุ่มชุ่มชื่น
ลดริ้วรอยหลุมลึกบนใบหน้า ช่วยรักษาสิว เม็ดผดผื่นคัน และป้องกันรังสียูวีจาก
แสงแดด -
สร้างความกระจ่างใสบนใบหน้าของคุณด้วย "สบู่ฟักข้าว ทานาคา พยายอ"
จาก DeMaman เดอมามอง
สนใจสั่งซื้อหรือเป็นตัวแทนจำหน่าย ติดต่อ 📞 095 - 979 9241 line : 5337j
🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇
วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เรื่องสบู่ สบู่
เรื่องสบู่ สบู่
สบู่ก็เหมือนๆกันหมดจริงหรือ?
สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกาย จากเอกสารที่บันทึกถึง
กำเนิดของสบู่ สบู่ก้อนแรกนั้นว่ากันว่า มาจากไขมันแพะต้มกับขี้เถ้า โดยในยุคต่อๆมา
สบู่ก็มีการพัฒนาการโดยมีการทำสบู่เป็นอุตสาหกรรม โดยโรงงานทำสบู่แรกๆนั้นเกิดขึ้น
ในยุโรป การทำสบู่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ โดยมีการทำสบู่ในรูปลักษณ์ต่างๆกัน
รวมตลอดถึงการพัฒนาคุณภาพให้สบู่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยการนำส่วนผสม
ที่มีประโยชน์ประกอบในก้อนสบู่
หลักการพื้นฐานของสบู่ เกิดจากการทำปฎิกิริยาระหว่างสารละลายกับน้ำมัน อาจ
จะเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์และกลีเซอรีนสำหรับทำความสะอาด ขจัดความสกปรก แต่
ข้อเสียคือ แม้ว่าสบู่โดยทั่วๆไปจะสามารถล้างความมันได้ดีมากก็ตาม แต่ก็ยังเข้าไป
ทำลายไขมันที่คุ้มกันผิวออกไปด้วย จึงทำให้ผิวแห้งตึง นอกจากนี้ ฤทธิ์ความเป็นด่างของ
สบู่ (สบูู่่มีค่า pH มากกว่า 7 ) ทำให้ค่า pH บนผิวของเราซึ่งปกติมีค่าประมาณ 5.5 ซึ่ง
มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เปลี่ยนไป และยิ่งใช้สบู่เป็นเวลานานๆยิ่งอาจทำให้ผิวเกิดการระคาย
เคืองอักเสบ และส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบนผิวหนังได้ ดังนั้น ใน
ปัจจุบันนี้ คนจึงหันมาใช้สารชำระล้างชนิดสังเคราะห์ซึ่งสามารถปรับค่า pH ให้ใกล้เคียง
กับค่า pH ของผิวหนังปกติ และทำให้เกิดความระคายเคืองผิวน้อยกว่าสบู่แบบเดิมๆ
สบู่ มีสามแบบดังนี้
1. สบู่ก้อนทั่วไป จะมีลักษณะเป็นก้อนแข็งใส่สีต่างๆ และมีรูปลักษณะจากบล๊อค
มีปริมาตรที่แตกต่างกันน้อยมาก พูดง่ายๆก็คือ เป็นสบู่ที่ผลิตจากโรงงาน สบู่ลักษณะนี้เป็น
สบู่ที่ทำมาจากเกล็ดสบู่ หรือที่เรียกกันว่า Soap Noodle หรือ Soap Chip นำมาเติมสาร
บำรุงผิว ซึ่งมักเป็นสารเคมี และน้ำหอม ลักษณะของเนื้อสบู่ที่ได้จะมีความแข็ง สามารถ
นำมาปั๊มขึ้นรูปได้ จึงมักมีรูปก้อนสบู่ที่สวยงาม
2. สบู่ก้อนแบบใส เป็นสบู่ที่ผลิตด้วยกลีเซอรีนผสมกับสารเติมแต่งเช่นสมุนไพร
หรือกลิ่นต่างๆ เนื้อสบู่จะอ่อนนิ่มกว่า และให้ฟองน้อยกว่า
3. สบู่เหลว เป็นสบู่ที่ผสมน้ำและสีต่างๆกับสารเติมแต่งต่างๆ สบู่เหลวนี้จะใช้เกล็ด
สบู่แบบที่ใช้ทำสบู่ก้อนแข็งมาทำการผลิต แต่ใช้ด่างที่เข้มข้นกว่าสบู่แบบก้อนแข็ง
สำหรับเกล็ดสบู่ซึ่งเราทราบกันแล้วว่าเกิดจากไขมันพืชและโซเดียมไฮดรอกไซด์
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง ความแตกต่างของสบู่ที่ทำจากเกล็ดสบู่และสบู่ที่ทำจากกลีเซอรีน คือ
สบู่ที่ทำจากเกล็ดสบู่จะไม่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวเหมือน
![]() |
กลีเซอรีนใส |
สบู่ที่ทำจากกลีเซอรีนซึ่ง ที่ผลิตจากการทำปฏิกริยากัน
ระหว่างน้ำมันกับสารละสายด่าง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิด
กลีเซอรีนธรรมชาติอยู่ในตัวสบู่ และกลีเซอรีนนี้เองที่
เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และยังสามารถเติมสาร
ธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าในการบำรุงผิวเพิ่มมากขึ้นได้ตามต้องการ สบู่กลีเซอรีน
เป็นสบู่ที่มีกลีเซอรีนเป็นส่วนประกอบสำคัญ และไขมันจากพืช มีทั้งชนิดใสและขาวขุ่น มี
คุณสมบัติ คือ กลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่
ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น อ่อน
โยนต่อผิว ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน
สำหรับเกล็ดสบู่ซึ่งเราทราบกันแล้วว่าเกิดจาก
![]() |
โซดาไฟ |
ไขมันพืชหรือไขมันสัตว์และโซเดียมไฮดรอกไซด์
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง สำหรับด่างที่ใช้ทำสบู่นั้น
มี 2 ชนิด คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือโซดาไฟ
(Sodium hydroxide) ใช้สำหรับทำสบู่ก้อน และ
โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์(Potassium hydroxide) ใช้สำหรับทำสบู่เหลว สำหรับ
โซดาไฟ ที่ใช้เป็นด่างในการทำสบู่นั้น ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวแต่ผู้ผลิตบาง
รายอาจทำเป็นเม็ดหรือเป็นผงก็ได้ เมื่อเทสารละลายโซดาไฟลงในน้ำมันหรือไขมัน จะ
เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า สะปอนนิฟิเคชัน (Saponification) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
ไขมันและน้ำมันด้วยเบส เกิดเกลือของไขมัน (สบู่) กับกลีเซอรอล ซึ่งหลังการทำ
ปฏิกิริยาเสร็จจะไม่มีโซดาไฟหลงเหลืออยู่ในผลิตภัณฑ์สบู่ แต่การใช้โซดาไฟ
โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ โปแตสเซียม ไฮดรอกไซด์ ซึ่งเป็นสารเคมี อาจส่งผล
ให้ผิวแห้งตึงเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานดังที่กล่าวมาแล้ว
ลักษณะของสบู่ที่ดีนั้น จะต้องทำความสะอาดได้ดี มีฟองในระดับที่เหมาะสม
มีค่าความเป็นด่างน้อยในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหรือทำลายชั้นไขมันของผิว ไม่มี
กลิ่นหืน มีกลิ่นหอมที่น่าใช้
การใช้สบู่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาด แต่ ในสภาพปัจจุบันการดูแล
ผิวเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งกว่าการใช้สบู่อะไรก็ได้ ในเมื่อมีการพัฒนาผลิตสบู่ออกมามายมาย
หลายชนิด แล้ววันนี้คุณจะเลือกใช้สบู่อะไร?
S.Th
ข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย
🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇🐇
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ช้ำใจต้องกินใบบัวบก
"อกหักช้ำใจต้องไปกินใบบัวบกแก้ช้ำ"
การเล่นคำที่น่ารักแต่สร้างความเจ็บร้าวให้กับผู้ฟังที่กำลังอยู่ในสภาวะ "อกหัก
รักคุด" จนอาจจะหันไปหาใบบัวบกมากินแก้ช้ำเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดหัวใจจริงๆ
แล้วเหตุใดจึงมีการเปรียบเทียบว่าอกหักช้ำใจต้องไปกินใบบัวบกแก้ช้ำ เรื่องนี้แสดงถึง
ภูมิปัญญาคนไทยที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย โดยเป็นที่รู้กันทั่วว่าใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณ
วิเศษอย่างหนึ่งคือแก้ช้ำในได้ ดังนั้น เมื่อคนอกหักต้องเจ็บช้ำจึงเกิดการเล่นคำใช้สำนวน
เปรียบเทียบว่าเมื่อช้ำใจก็ให้ไปกินใบบัวบก ทั้งที่ภาวะการอกหักเป็นภาวะทางจิตใจซึ่ง
ต้องใช้เวลาและการเปลี่ยนแนวคิดของบุคคลผู้อกหักนั้นเองที่จะดึงตัวเองออกมาจาก
ความเจ็บช้ำได้ แต่ถึงจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างการช้ำใจกับใบบัวบก สรรพคุณ
ของใบบัวบกอีกอย่างหนึ่งในหลายๆอย่างของใบบัวบกคือสามารถช่วยลดความกระวน
กระวายใจและช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายลงได้ ด้วยสรรพคุณวิเศษนี้จึงน่าสามารถ
ที่จะทำให้คนที่กำลีงเจ็บปวดใจจนนอนไม่หลับกระสับกระส่ายสามารถนอนหลับได้ง่าย
ขึ้น โดยแค่เพียงรับประทานใบบัวบกเป็นประจำก่อนนอน ก็จะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
ได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว
ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่คนจีนที่นำมาใช้กันตั้งแต่โบร่ำ
โบราณ โดยนำมาต้มดื่มน้ำช่วยแก้อาการช้ำใน ในศรีลังกา
ใช้ใบบัวบกใส่ในข้าวต้ม โดยต้มข้าวกับน้ำซุปผักจนสุกนุ่ม
ใส่กะทิ ปรุงรสด้วยเกลือ ยกลงแล้วจึงใส่ใบบัวบก ใน
ประเทศไทยใช้เป็นผักแนม กินกับผัดไทย ผัดหมี่ หมี่กะทิ ขนมจีน ทำลาบ
ทำยำใบบัวบกและในวิถีของแพทย์ทางเลือก ใบบัวบกถือเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น
สามารถนำมาคั้นน้ำดื่มเพื่อปรับสมดุลย์ในร่างกายเนื่องจากการกินอาหารที่มีรส
เผ็ดร้อน เค็มมันทำให้ภายในร่างกายมีฤทธิ์ร้อนมากเกินไป จนเกิดความเสื่อมและ
เกิดโรคภัยที่มากับฤทธิ์ร้อนเกินไปเช่นความดันโลหิตสูง ฝี หนอง สิวฝ้า โรคหัวใจ
และโรคอื่นๆอีกมากมาย
ใบบัวบกมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Gotu kola หรือ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Centella
asiatica สรรพคุณของใบบัวบกนั้นเรียกได้ว่ามีรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านสุขภาพ
และความงาม เรียกได้ว่า ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่เลอค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้
ที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันกลับไปหาสิ่งที่เป้นธรรมชาติมากกว่าการใช้สารเคมี ทั้งในเรื่อง
การดูแลสุขภาพและเรื่องของความงาม เรามาดูกันว่า ใบบัวบกที่แสนเลอค่าของเรามี
สรรพคุณอะไรกันบ้าง
1. ใบบัวบกสามารถแก้ปัญหาเส้นเลือดขอด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
ลดอาการบวมและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ด้วยวิธีรับประทาน
2. สมานแผลและรักษาโรคผิวหนังบางชนิด เพราะใบบัวบกมีสารสำคัญตัวหนึ่ง
คือ สารไตรเตอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) ที่มีการศึกษากับสัตว์แล้วพบว่าสามารถช่วย
สมานบาดแผลได้ เนื่องจากสารดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับ
บาดแผล และช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณบาดแผลมากขึ้น ส่งผลให้บาด
แผลค่อย ๆ หายดีขึ้นในระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งสารจากใบบัวบก ยังสามารถช่วยป้องกัน
การเกิดแผลเป็นได้อีกด้วย พบว่า ในปัจจุบันมีการผลิตครีมรักษาบาดแผลเป็นจำนวนมาก
ที่ผสมด้วยสารสกัดจากใบบัวบก
3. ช่วยระบายความร้อน ในร่างกายได้ ช่วยขับพิษร้อน และช่วยสลายความชื้นใน
ร่างกายได้เป็นอย่างดี
4. ลดความกระวนกระวายใจ ช่วยให้จิตใจสงบ เพราะว่าสารไตรเตอร์พีนอยด์
(Triterpenoids) นั้น นอกจากจะช่วยในการสมานแผลและรักษาโรคผิวหนังบางชนิด
ได้แล้วก็ยังมีฤทธิ์ในการลดความกระวนกระวายและช่วยกระตุ้นกลไกการทำงานของ
สมองได้อีกด้วย
5. ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ใบบัวบกไม่เพียงแต่ช่วยลดความกระวน
กระวายเท่านั้น แต่ก็ยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายลงได้ ทำให้สามารถนอนหลับได้
ง่ายขึ้น โดยแค่เพียงรับประทานเป็นประจำก่อนนอน ก็จะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นได้
อย่างน่าอัศจรรย์
6. ลดความดันโลหิต กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ได้ออกมาแนะนำว่าใบบัวบกเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะเจ้า
ใบบัวบกนั้นจะไปทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลด
ภาวะความเครียดอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทั้งนี้วิธีการรับประทานก็
ไม่ยาก เพียงแค่นำใบบัวบกไปคั้นน้ำแล้วนำมาดื่ม จะนำไปผสมกับน้ำผึ้งสักเล็กน้อย หรือ
ผสมกับน้ำผลไม้อื่น ๆ ก็ใช้ได้
7. ลดอาการบวม การรับประทานใบบัวบกไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำคั้นดื่ม หรือแบบที่
เป็นสารสกัดแคปซูล สามารถช่วยลดอาการบวมช้ำบริเวณบาดแผลได้ รวมทั้งยังลดอาการ
อักเสบที่ทำให้เกิดอาการบวมได้อีกด้วย
8. บำรุงสมอง ใบบัวบกเป็นพืชอีกชนิดที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วย
ป้องกันสารอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์สมอง รวมทั้งช่วยคลายความอ่อนล้าของ
สมอง เพิ่มการทำงานของสมองและความจำ แถมยังสามารถลดภาวะซึมเศร้า และ
สามารถช่วยยับยั้งอาการของโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดขึ้นในสมองได้
9. รักษาอาการติดเชื้อ ใบบัวบกี่สามารถช่วยรักษาโรคไข้หวัดได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ แถมช่วยรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งอาการติดเชื้อ
แบคทีเรียและเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้อีกมากมาย เรียกได้ว่าไม่ว่าจะติดเชื้ออะไรก็ตาม
ใบบัวบกสามารถช่วยรักษาได้หมด แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และภายใต้การ
ดูแลของผู้เชียวชาญ
10. บรรเทาอาการอ่อนเพลีย นอกจากรักษาอาการป่วยต่าง ๆ แล้ว ใบบัวบกยัง
สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนเพลียได้
11. บำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงที่อยาก
จะมีและอยากจะเป็น ในใบบัวบกมีสารที่ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
ในร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์ และนอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระใน
ใบบัวบกก็ยังช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย จึงไม่น่าแปลกเลยล่ะถ้าคุณจะได้เห็นชื่อ
ของเจ้าใบบัวบกเป็นหนึ่งในส่วนผสมของเครื่องประทินผิว ทั้งนี้ยังสามารถนำใบบัวบก
สด ๆ มาใช้พอกหน้าได้อีกด้วย
เรามารู้วิธีพอกหน้าให้ผิวสวยใส ลบรอยตีนกา ด้วยใบบัวบกกันดีกว่า วิธีทำ
1. นำใบบัวบกสดมาล้างทำความสะอาด แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. นำมาปั่นหรือบดกับน้ำสะอาด 1 แก้ว
3. นำมาพอกหน้า หรือนำสำลีชุบน้ำใบบัวบกขึ้นมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้
ประมาณ 15 นาที
4. ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำเป็นประจำทุกวันก่อนนอนจะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อน
กว่าวัย
12. กำจัดเซลลูไลท์ สำหรับสาว ๆ ที่หนักใจกับเซลลูไลท์ที่เป็นศัตรูความงาม
อยู่ เพียงการรับประทานใบบัวบกเป็นประจำก็จะช่วยให้เซลล์ไขมันเซลลูไลท์ถูกขับออก
มาจากร่างกายได้ง่ายขึ้น รวมทั้งช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น และลดการ
อักเสบอันเกิดจากเซลลูไลท์ได้อีกด้วย
13. บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ใบบัวบกนั้นมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียน
เลือดบริเวณหนังศีรษะ และยังช่วยบำรุงให้รากผมแข็งแรงป้องกันผมร่วงทำให้ผมที่ขึ้น
ใหม่มีความแข็งแรงและดกดำเงางามได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีแต่อย่างใด
สรรพคุณอันมากมายเลอค่าของใบบัวบกนี้
ทำให้เกิดการผลิตเครื่องสำอางค์หลายชนิดที่มีการ
นำสารสกัดจากใบบัวบกมาเป็นส่วนประกอบ สมุนไพร
จากธรรมชาติที่อุดมด้วยคุณประโยชน์นี้ ยังสามารถนำ
มาใช้กำหราบสิ่งที่ทำให้หลายๆคนทั้งคนหนุ่มและคนสาวเป็นกังวล
คือภาวะของสิว ฝ้าจุดด่างดำบนใบหน้า รวมถึงผู้ที่มีอายุที่มากขึ้นและกำลังประสบ
ปัญหาความเครียดไกลเคชั่น ที่เป็นตัวทำให้เกิดอนุมูลอิสระสร้างริ้วรอยแก่กว่าวัยให้
ปรากฎบนใบหน้า และรอยตีนกา ในใบบัวบกนั้นมีสารไกลโคไซด์ที่ช่วยในการรักษาสิว
สามารถต้านพวกเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเป็นหนองขึ้นในเวลา เกิดเป็น
สิวหัวหนอง ซึ่งเวลาเป็นสิวหัวหนอง ให้เอาใบบัวบกมาแต้มที่สิว จะช่วยลดหนองได้เป็น
อย่างดี ที่สำคัญสามารถช่วยผิวฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจน อิลาสติน ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ถูก
ทำลายเวลาที่เกิดจากรอยแผลสิวหรือริ้วรอยของวัย ให้เพิ่มมากขึ้นมาทดแทนชั้นผิวที่ถูก
ทำลายไปได้
มารู้วิธีการใช้ใบบัวบก เพื่อการรักษาสิวกัน เราสามารถใช้ได้ทั้งกิน และทาควบคู่
กันไปให้นำใบบัวบกประมาณ 3-5 ต้นมา แช่น้ำทิ้งเพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดมากับใบบัวบก
หลุดออกล้างด้วยน้ำให้สะอาดอีกครั้ง นำมาตำหรือจะปั่นผสมน้ำลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็
นำใบบัวบก ที่ได้จากการปั่นมาพอกหน้าทิ้งไว้ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ใบบัวบก เป็นสมุนไพร ที่เป็นอีกหนึ่งในวิธีของการรักษาสิวแบบธรรมชาติ ที่ไม่
เป็นอันตราย และยังปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า "อกหักช้ำรักให้กินใบบัวบก
แก้ช้ำ" อาจไม่ใช่การเล่นคำธรรมดา ที่เพียงเปรียบเปรยแต่อย่างใด ก็ในเมื่อคุณประโยชน์
เลอค่ามากมายของใบบัวบกนี้มีมากมายถึงเพียงนี้ การใช้ใบบัวบกรักษาอาการช้ำใจจาก
อกหักรักคุด ก็อาจมีทางเป็นไปได้เหมือนกันก็ได้ ใครจะรู้😀😀😀
S.Th
ข้อมูลจาก - ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย(Herb) เพื่อสุขภาพคุณ bookmuey.com
- สรรพคุณใบบัวบก health.kapook.com
- วิกิพีเดีย
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559
รู้จัก AGEs
รู้จักกับ AGEs
AGEs หรือ เอจ เป็นคำที่สาวๆ ทั้งเกลียดและกลัวหลายคนจินตนาการถึงใบหน้า
ที่มีรอยย่นหรือมีรอยตีนกาเกลื่อนอยู่บนใบหน้า หรือนึกถึงใบหน้าที่ยับย่น ผิวหน้าที่
เหี่ยวย่น สารพัดที่จะนึกถึงจนสร้างความหวาดสยองให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของใบหน้า
ถึงกับต้องสรรหาสารพัดเครื่องสำอางค์ที่มีการโฆษณาถึงคุณสมบัติในการที่ใช้แล้ว
สามารถจะ Anti - aging คือการชลอวัย หรือต่อต้านความแก่นั่นเอง
AGEs เป็นผลิตผลที่สืบเนื่องมาจากภาวะเครียด ไกลเคชั่น (Glycation stress)
กระบวนการไกลเคชั่นนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน
ซึ่งก็คือภาวะที่มีอนุมูลอิสระมากเกินแต่ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับไม่เพียงพอ
และส่งผลให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ โปรตีน ไขมัน และโมเลกุลอื่นๆ ซึ่งหากภาวะเครียด
ออกซิเดชั่นนี้เกิดขึ้นกับเราอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ตัวเราเกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ
ตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคทางระบบประสาท ภาวะเสื่อมสภาพ
และ ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการ แก่ก่อนวัย แต่ผลกระทบที่มีต่อการแก่ชราจะเห็นได้ชัดเจนมาก
ในสภาวะของคนที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะไกลเคชั่นจะถูกกระตุ้นเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ดังนั้นในความเป็นจริงผู้ป่วยเบาหวานอาจจะมีโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับการแก่ชราหรือการสร้างเส้นเลือดใหม่ต่างๆ มากมายเกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เส้นเลือดต่างๆ ถูกเร่งให้
แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ดังนั้น การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของคนเรา เช่น
การรับประทานอาหารที่เป็นทุพโภชนาการ (malnutrition :
เป็นภาวะซึ่งเกิดขึ้นจากการรับประทาน อาหารไม่สมดุลกันโดย
ยอาจมีสารอาหารบางอย่างได้รับไม่เพียงพอ เกิน หรือผิดสัดส่วน) การออกกำลังกายน้อยเกินไป (ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสาม
วันในหนึ่งสัปดาห์และออกกำลังพอให้หัวใจได้เต้นแรงขึ้น
ไม่ใช่การออกกำลังกายอย่างหักโหม) การใช้ชีวิตประจำวัน
ของคนเราเองที่อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียดไกลเคชั่นขึ้นมาได้
ไกลเคชั่นเป็นปฎิกิริยาระหว่างโปรตีนกับน้ำตาลที่อยู่ในร่างกาย ทำให้น้ำตาลเข้าไปจับกับคอลลาเจนและโปรตีนอิลาสตินในผิวหนัง ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวหนังของผู้สูงอายุหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ริ้วรอยแห่งวัย" ทำให้ผิวหมองไม่น่าดึงดูด และปฎิกิริยานี้ยังไปทำลายสมดุลย์การเกิดใหม่ของเซลล์ที่สร้างเส้นใย (Fibroblast cell) ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยตามมา
AGEs เป็นคำย่อของ Advanced Glycation End Products ซึ่งเป็นผลผลิตปลายทางของกระบวนการไกลเคชั่น ในงานวิจัยล่าสุด พบว่า AGEs เป็นสารต้นเหตุที่ทำให้ความแก่ชราคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว AGEs เป็นตัวการที่ทำให้ผิวในชั้นหนังแท้กลายเป็นสีเหลืองนอกเหนือจาก
การรับรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่มากเกินไปอีกด้วย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ภาวะริ้วรอยแห่งวัย จะเกิดช้าหรือเร็วนั้นส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์หรือการดูแลให้ความสนใจตนเองมากหรือน้อยเพียงใด ท่ามกลางภาวะทุพโภชนาของผู้คนและสภาพชั้นบรรยากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงทำให้รังสียูวีแผดกล้ากว่าเดิม นั่นหมายถึงการจะหลีกเลี่ยงจาก AGEs จึง่มี
ความยากที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น จึงได้มีการคิดค้นวิจัย การชลอวัย ออกมาเป็นจำนวนมากมายหลายวิธี ทั้งการปฏิบัติตนเพื่อต้านภาวะเครียดไกลเคชั่นอันเป็นการป้องกันการเกิด AGEs ตลอดจคิดค้นหาวิธีเพื่อให้ผิวหนังได้รับการฟื้นฟูจากการเสื่อมสลายของเซลล์ผิวหนัง โดยการนำสมุนไพรต่างๆเข้ามาประกอบในเครื่องสำอางค์เพื่อช่วยฟื้นฟู และป้องกันผิวที่ถูกทำลายไป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงจากภาวะ แก่ก่อนวัย เราจึงจำเป็นต้องมีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ให้ความระมัดระวังในเรื่องอาหารที่เรารับประทาน และดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพ เพื่อลดภาวะเครียดไกลเคชั่นอันจะนำมาซึ่งผลของการ "ชราก่อนวัยอันควร" และชลอวัยอย่างได้ผล
ข้อมูลจาก
art.kmutt.ac.th : การเลือกรับประทานอาหาร
gesundheit.co.nz : การชลอวัย
aoteapacific.co.nz : แอนตี้ ไกลเคชั่น
S.Th
🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏🐏
จากการศึกษาทางคลีนิคและในห้องปฎิบัติการค้นพบว่า
สารสกัดจาก ดอกซากุระ หนึ่งในดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยเป็นอย่างดีนั้น มีประสิทธิภาพในการยับยั้งกระบวนการไกลเคชั่น และยังมีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้กับมนุษย์ด้วย โดยซากุระนั้น จะช่วยในการลดเลือนจุดด่างดำ ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวหนังจากสภาพที่เสื่อมโทรม หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส ทำให้ผิวพรรณตึงกระชับ พร้อมทั้งสามารถปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอยได้อย่างครบครัน
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ตอนที่ 10 อ้วนหรือผอมอยู่ที่ตัวเรา:บทสรุปของการลดน้ำหนัก
ในโลกใบนี้ประกอบด้วยผู้คนที่มี
ความแตกต่างกันจำนวนมากมาย มี
ความคิดที่แตกต่างกัน
ผู้คนจำนวนมากมีความสุขและ
ประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนัก
ตัวลงตามที่ตนเองอยากจะลด ใน
ขณะที่ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่วางมือ
หมดความพยายามที่จะลดน้ำหนักตัว
และเช่นกันที่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่ง
ที่ยินยอมใช้ชีวิตอยู่กับความอวบเกิน
พิกัดของตัวเองอย่างมีความสุข
เรื่องการจะลดความอ้วนเป็น
เรื่องที่จะบังคับกันไม่ได้ เป็น
เรื่องที่เกี่ยวกับความต้องการของปัจเจกบุคคล แม้แต่หมอเองยัง
บังคับให้คนไข้ของตนลดความ
อ้วนไม่ได้ ได้แต่แจกยาคนไข้ทุก
เดือนพร้อมคำเตือนเดิมๆ คือให้
ไปลดน้ำหนัก
จึงกล่าวได้ว่า"ความอ้วน จะถูกพิชิต
ลงได้ก็ด้วยตัวตนของคนผู้นั้นเอง เท่านั้น
บทสรุปนี้เป็นเพียงแนวทางจากประสบ
การณ์ลดน้ำหนักตัวของผู้เขียน สำหรับผู้
ที่คิดอยากลดน้ำหนักลงบ้าง เพื่อให้ผู้ที่
อยากมีความสุขกับรูปร่างที่ "ผอมกระชับ"
อ่านและนำไปพิจารณาเพื่อสามารถปฎิบัติ
ตนได้อย่างมีความสุขในเวลาที่ต้องการ
ลดน้ำหนัก
1. ความตั้งใจ
อย่าง "จริงจัง" ที่
จะพิชิตไขมันให้
ออกไป จากตัว
ลำพังความตั้งใจอย่างเดียวไม่อาจดึง
เราให้ออกมาจาก วังวนของการบริโภค
และความขี้เกียจได้
"ความจริงจัง" ที่จะลดน้ำหนักเท่านั้น
ที่จะสามารถทำให้ยืนหยัดจนสวยสเล็นได้
ตั้งเป้าหมายให้ชัดก่อนว่า อยากลดน้ำ
หนักลงเท่าไหร่ภายในกี่เดือน
"ประกาศเรื่องการลดน้ำหนักของเราให้
โลกได้รู้ " แล้วลงมือทำ โดยไม่หวั่นไหว
กับเสียงสนับสนุน หรือเสียงท้วงติงทัดทาน
จากเพื่อนฝูงและผู้คนรอบๆตัว
ทุกอย่างอยู่ที่ "ตัวเรา" เพียงคนเดียว
เท่านั้น นี่เป็นชีวิตของเรา
เราจะต้องเป็นคนเลือกเองว่า "เราจะ
อยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นคนอ้วนหรือเป็น
คนผอม"
2. เตรียมตาชั่งและศึกษาเรื่อง
แคลอรี่ของอาหารให้พอเข้าใจว่า
เราควรจะจัดการในเรื่องการ
บริโภคของตนเองอย่างไร
การกินอาหาร ต้องกินให้ครบ
ทั้งสามมื้อ กินได้ทุกอย่างตามที่
ต้องการ แต่ถ้าเป็นอาหารที่มี
แคลอรี่สูงๆจะต้องลดปริมาณ
การบริโภคอาหารชนิดนั้น กินได้แต่
กินให้น้อยลง ยึดตามหลักว่า
"เช้ากินอย่างราชา กลางวันกินอย่าง
เศรษฐีและเย็นให้กินอย่างยาจก"
จะต้องไม่อดอาหารเพราะมันจะ
สร้างความเครียด ไร้ความสุข และที่
สำคัญมันจะทำให้ร่างกายคิดว่าเรา
กำลังอดอยาก และมันจะลดการ
เผาผลาญลงตามธรรมชาติ ซึ่งอาจ
ทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้ใน
อนาคต
ชั่งน้ำหนักเช้าเย็นและจดสถิติ
ของน้ำหนักเพื่อการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรม
ปรับปรุงนิสัยการกิน การปรับปรุง
นิสัยความเคยชินจะนำมาซึ่งการปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่มีคุณภาพ
มากขึ้น
3. ขยับตัวออก
กำลังกายเพื่อเบิร์น
ไม่รังเกียจที่จะเคลื่อน
ไหวร่างกายในระหว่าง
วัน และออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ
3 ถึง 5 วัน ครั้งละประมาณ 30 นาทีเป็น
อย่างน้อย
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อคอย
กระชับรูปร่างในเวลาที่เราน้ำหนักลดลงแล้ว
เราจะยังคงความ"หล่อ สวย" และมีรูปร่าง
กระชับ ไม่มีเนื้อหนังที่ห้อยย้อยจนน่าเกลียด
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีคือ
การออกกำลังกายจนมีความรู้สึกว่า เรา
หายใจแรงขึ้นกว่าปกติแต่ไม่ถึงกับเหนื่อย
จนหอบ
การออกกำลังกายชนิด aerobic
exercise เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่น
จักรยาน นับเป็นการออกกำลังกายที่
ดีวิธีหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย
ด้วยการแกว่งแขน ก็นับเป็นวิธีที่ดี
สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังภายใน
บ้านแบบสบายๆและยังทำให้รูปร่าง
กระชับลงได้อย่างได้ผลเช่นกัน
4. ดูแลตัวเองเรื่องการขับถ่าย
พยายามอย่าให้ท้องผูก ดื่มน้ำ
สะอาด เลี่ยงการดื่มชา กาแฟ
และน้ำอัดลม พักผ่อนนอนหลับ
อย่างพอเพียง พยายามนอนให้เร็ว
ขึ้น
ถ้าหากว่าชอบนอนดึกการเข้า
นอนก่อนสี่ทุ่มจะทำให้ร่างกายหลั่ง
สารแห่งความสุขทำให้แก่ช้า ทำให้
ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
และทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน
ได้ดีอีกด้วย
5. สิ่งสำคัญที่สุดของการลดน้ำ
หนักคือ หากเราเป็นคนที่ไม่ชอบ
การออกกำลัง ชอบกินตามใจปาก
ชอบที่จะปฎิบัติตนให้ตรงข้ามกับ
ข้อเสนอแนะสี่ประการข้างต้น
เราจะต้องตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยน
นิสัยการกิน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์บ้างนิด
หน่อย
ปฎิบัติตนอย่างค่อนข้างเคร่งครัด
ในระยะแรกของการลดน้ำหนัก เพื่อ
สร้างนิสัยใหม่ๆที่จะนำไปสู่ความเคย
ชินและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ทำทุกอย่างที่
จะต้องทำด้วยความ
สุข สร้างสภาพแวด
ล้อมรอบตัวให้มีความ
สุขกับการลดน้ำหนัก
สนุกสนานกับการลดน้ำหนัก
ไม่ต้องเร่งรัดตัวเองมากไป หากว่าไม่ได้
คิดจะลดน้ำหนักเพื่อให้ทันกับวันแต่งงาน
แต่จะต้องยืนหยัดและมีวินัยต่อตนเอง
ให้เวลากับตัวเองในการที่จะปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมเกี่ยวกับการกินและการออก
กำลังกาย
การจะลดความอ้วนหรือไม่ลดความอ้วน
ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีใคร
จะมาบังคับเราได้
เราคนเดียวเท่านั้นที่จะกำหนดว่า เราจะ
เป็นคนแบบใดในสังคม เป็นคนหล่อ สวย
สุขภาพดี หรือจะเป็นคนอวบท้วมที่มีภาวะ
เสี่ยงกับปัญหาสุขภาพ
"อยากอ้วนหรืออยากผอมขึ้นอยู่กับ
ตัวเราแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น"
ขอให้ทุกท่านสนุกกับการลดน้ำหนัก
ความแตกต่างกันจำนวนมากมาย มี
ความคิดที่แตกต่างกัน
ผู้คนจำนวนมากมีความสุขและ
ประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนัก
ตัวลงตามที่ตนเองอยากจะลด ใน
ขณะที่ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่วางมือ
หมดความพยายามที่จะลดน้ำหนักตัว
และเช่นกันที่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่ง
ที่ยินยอมใช้ชีวิตอยู่กับความอวบเกิน
พิกัดของตัวเองอย่างมีความสุข
เรื่องการจะลดความอ้วนเป็น
เรื่องที่จะบังคับกันไม่ได้ เป็น
เรื่องที่เกี่ยวกับความต้องการของปัจเจกบุคคล แม้แต่หมอเองยัง
บังคับให้คนไข้ของตนลดความ
อ้วนไม่ได้ ได้แต่แจกยาคนไข้ทุก
เดือนพร้อมคำเตือนเดิมๆ คือให้
ไปลดน้ำหนัก
จึงกล่าวได้ว่า"ความอ้วน จะถูกพิชิต
ลงได้ก็ด้วยตัวตนของคนผู้นั้นเอง เท่านั้น
บทสรุปนี้เป็นเพียงแนวทางจากประสบ
การณ์ลดน้ำหนักตัวของผู้เขียน สำหรับผู้
ที่คิดอยากลดน้ำหนักลงบ้าง เพื่อให้ผู้ที่
อยากมีความสุขกับรูปร่างที่ "ผอมกระชับ"
อ่านและนำไปพิจารณาเพื่อสามารถปฎิบัติ
ตนได้อย่างมีความสุขในเวลาที่ต้องการ
ลดน้ำหนัก
1. ความตั้งใจ
อย่าง "จริงจัง" ที่
จะพิชิตไขมันให้
ออกไป จากตัว
ลำพังความตั้งใจอย่างเดียวไม่อาจดึง
เราให้ออกมาจาก วังวนของการบริโภค
และความขี้เกียจได้
"ความจริงจัง" ที่จะลดน้ำหนักเท่านั้น
ที่จะสามารถทำให้ยืนหยัดจนสวยสเล็นได้
ตั้งเป้าหมายให้ชัดก่อนว่า อยากลดน้ำ
หนักลงเท่าไหร่ภายในกี่เดือน
"ประกาศเรื่องการลดน้ำหนักของเราให้
โลกได้รู้ " แล้วลงมือทำ โดยไม่หวั่นไหว
กับเสียงสนับสนุน หรือเสียงท้วงติงทัดทาน
จากเพื่อนฝูงและผู้คนรอบๆตัว
ทุกอย่างอยู่ที่ "ตัวเรา" เพียงคนเดียว
เท่านั้น นี่เป็นชีวิตของเรา
เราจะต้องเป็นคนเลือกเองว่า "เราจะ
อยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นคนอ้วนหรือเป็น
คนผอม"
2. เตรียมตาชั่งและศึกษาเรื่อง
แคลอรี่ของอาหารให้พอเข้าใจว่า
เราควรจะจัดการในเรื่องการ
บริโภคของตนเองอย่างไร
การกินอาหาร ต้องกินให้ครบ
ทั้งสามมื้อ กินได้ทุกอย่างตามที่
ต้องการ แต่ถ้าเป็นอาหารที่มี
แคลอรี่สูงๆจะต้องลดปริมาณ
การบริโภคอาหารชนิดนั้น กินได้แต่
กินให้น้อยลง ยึดตามหลักว่า
"เช้ากินอย่างราชา กลางวันกินอย่าง
เศรษฐีและเย็นให้กินอย่างยาจก"
จะต้องไม่อดอาหารเพราะมันจะ
สร้างความเครียด ไร้ความสุข และที่
สำคัญมันจะทำให้ร่างกายคิดว่าเรา
กำลังอดอยาก และมันจะลดการ
เผาผลาญลงตามธรรมชาติ ซึ่งอาจ
ทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้ใน
อนาคต
ชั่งน้ำหนักเช้าเย็นและจดสถิติ
ของน้ำหนักเพื่อการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรม
ปรับปรุงนิสัยการกิน การปรับปรุง
นิสัยความเคยชินจะนำมาซึ่งการปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่มีคุณภาพ
มากขึ้น
3. ขยับตัวออก
กำลังกายเพื่อเบิร์น
ไม่รังเกียจที่จะเคลื่อน
ไหวร่างกายในระหว่าง
วัน และออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ
3 ถึง 5 วัน ครั้งละประมาณ 30 นาทีเป็น
อย่างน้อย
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อคอย
กระชับรูปร่างในเวลาที่เราน้ำหนักลดลงแล้ว
เราจะยังคงความ"หล่อ สวย" และมีรูปร่าง
กระชับ ไม่มีเนื้อหนังที่ห้อยย้อยจนน่าเกลียด
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีคือ
การออกกำลังกายจนมีความรู้สึกว่า เรา
หายใจแรงขึ้นกว่าปกติแต่ไม่ถึงกับเหนื่อย
จนหอบ
การออกกำลังกายชนิด aerobic
exercise เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่น
จักรยาน นับเป็นการออกกำลังกายที่
ดีวิธีหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย
ด้วยการแกว่งแขน ก็นับเป็นวิธีที่ดี
สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังภายใน
บ้านแบบสบายๆและยังทำให้รูปร่าง
กระชับลงได้อย่างได้ผลเช่นกัน
4. ดูแลตัวเองเรื่องการขับถ่าย
พยายามอย่าให้ท้องผูก ดื่มน้ำ
สะอาด เลี่ยงการดื่มชา กาแฟ
และน้ำอัดลม พักผ่อนนอนหลับ
อย่างพอเพียง พยายามนอนให้เร็ว
ขึ้น
ถ้าหากว่าชอบนอนดึกการเข้า
นอนก่อนสี่ทุ่มจะทำให้ร่างกายหลั่ง
สารแห่งความสุขทำให้แก่ช้า ทำให้
ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
และทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน
ได้ดีอีกด้วย
5. สิ่งสำคัญที่สุดของการลดน้ำ
หนักคือ หากเราเป็นคนที่ไม่ชอบ
การออกกำลัง ชอบกินตามใจปาก
ชอบที่จะปฎิบัติตนให้ตรงข้ามกับ
ข้อเสนอแนะสี่ประการข้างต้น
เราจะต้องตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยน
นิสัยการกิน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์บ้างนิด
หน่อย
ปฎิบัติตนอย่างค่อนข้างเคร่งครัด
ในระยะแรกของการลดน้ำหนัก เพื่อ
สร้างนิสัยใหม่ๆที่จะนำไปสู่ความเคย
ชินและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ทำทุกอย่างที่
จะต้องทำด้วยความ
สุข สร้างสภาพแวด
ล้อมรอบตัวให้มีความ
สุขกับการลดน้ำหนัก
สนุกสนานกับการลดน้ำหนัก
ไม่ต้องเร่งรัดตัวเองมากไป หากว่าไม่ได้
คิดจะลดน้ำหนักเพื่อให้ทันกับวันแต่งงาน
แต่จะต้องยืนหยัดและมีวินัยต่อตนเอง
ให้เวลากับตัวเองในการที่จะปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมเกี่ยวกับการกินและการออก
กำลังกาย
การจะลดความอ้วนหรือไม่ลดความอ้วน
ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีใคร
จะมาบังคับเราได้
เราคนเดียวเท่านั้นที่จะกำหนดว่า เราจะ
เป็นคนแบบใดในสังคม เป็นคนหล่อ สวย
สุขภาพดี หรือจะเป็นคนอวบท้วมที่มีภาวะ
เสี่ยงกับปัญหาสุขภาพ
"อยากอ้วนหรืออยากผอมขึ้นอยู่กับ
ตัวเราแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น"
ขอให้ทุกท่านสนุกกับการลดน้ำหนัก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)