วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เราเป็นอย่างที่เราคิด?


คนเราจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด
คนเราสื่อสารกับตัวเองตลอดเวลา
เทคนิคของการสื่อสารกับตัวเอง
พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ไม่พูดในสิ่งที่เราไม่อยากเป็น
เราเป็นอย่างที่เราคิด?
บางคนอาจบอกว่ามันไม่จริง...
บางคนอาจบอกว่ามันไม่เสมอไป...
บางคนอาจบอกว่าคิดอย่างหนึ่ง
กลับไปได้อีกอย่างหนึ่ง...

     เรื่องเล่าของเพื่อนวัยเยาว์ที่
กลับมาพบหน้ากันใหม่ ตอนเรียน
ในชั้นประถม เธอเรียนไม่เก่งเลย

     เธอเป็นคนที่ฉลาด มีไหวพริบ
ดีมาก แต่เธอเรียนไม่เก่ง...

     เธอบอกว่า แม่เธอไม่ได้เรียน
มาสูง แต่ขยันขันแข็งในการทำ
มาหากิน แม่เธออยากให้เธอเรียน
สูงๆ 

     เมื่อครั้งประถมต้นเธอให้แม่
ตรวจทานการบ้าน เธอคิดเลข
ผิดไปข้อเดียว แม่เธอมองหน้า
เธอแล้วพูดว่า 
"ลูกไม่ได้โง่นะ ทำไมถึงทำการ
บ้านผิด" (ผิดไปตั้งข้อหนึ่ง)

     ความนัยครั้งนั้นเป็นการตำหนิ 
เธอจำได้แม่นยำถึงคำพูดของแม่ว่า 
เธอไม่ใช่คนโง่
แต่เธอรู้ดี รู้อยู่เต็มอกว่าเธอทำการ
บ้านผิดไปตั้งหนึ่งข้อ เธอโง่ใช่หรือ
ไม่ตามที่แม่พูด

     ย่างเข้าวัยมัธยม เพื่อนๆทุกคน
รู้ดีว่าเธอเธอเป็นนักเรียนที่เรียน
"บ๊วย" ที่สุดในชั้น เพื่อนบางคนช่วย
เธอเรื่องเรียน บางคนล้อเลียนเธอ
เรื่องความหัวทึบ 

     เธอมักจะบอกเพื่อนๆตลอดว่า 
"กูไม่ได้โง่นะ" (แต่เธอก็ต่อท้ายใน
ใจทุกครั้งว่า กูทำการบ้านผิดไป
ตั้งข้อนึง)

     วันนี้เจอเพื่อนคนนี้ เธอสวย เธอ
แจ่มใส ท่าทางมั่นใจ เธอเป็นเจ้าของ
โรงงานทำกระเป๋า ส่งออกนอก ราย
ได้ต่อปีมากโขอยู่

     เธอเล่าว่า เธอไม่ได้เรียนต่อมหา
วิทยาลัย เพราะเธอเคยคิดว่าเธอโง่ 
การที่เธอเที่ยวประกาศว่าเธอไม่โง่ 
คือการยอมรับและให้ข้อสรุปกับ
ตัวเองไปแล้วว่า เธอนั้นโง่  เธอจึง
ไม่ยอมเรียนต่อ 

     เธอไปทำงานเป็นเสมียนในโรง
งาน ได้เงินเดือนน้อยนิดความรู้อัน
น้อยนิดของเธอ 

     เจ้าของโรงงานเป็นคนจีนมาจาก
เมืองจีน เขาชมเธอเสมอว่าเธอเก่ง
เกินกว่าที่ตัวเองคิด 

     จากเสมียนพิมพ์ดีดเธอเริ่มลง
บัญชี เธอไม่เคยทำพลาด

     เขาส่งเธอไปอบรม สัมมนาบ่อย
ขึ้น เขาบอกเธอว่าเขาโชคดีที่ได้เธอ
มาช่วยงาน เธอเก่ง เธอซื่อสัตย์

     และเธอเริ่มรู้ตัวว่า ความจริงแล้ว
เธอเก่ง เธอเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า 
เธอเป็นคนเก่ง เธอสมัครเรียนมหา
วิทยาลัยที่ไม่ต้องสอบเข้า เธอใช้เวลา
สามปีครึ่งเรียนจบ พร้อมๆกับทำงาน
ไปด้วย เธอลงเรียนต่อปริญญาโท 
และปริญญาเอกในเวลาต่อมา 

     เมื่อสี่ปีที่แล้วเจ้าของโรงงานจะ
กลับไปอยู่กับลูกของเขาที่เมืองจีน 
เขาบอกขายโรงงานให้เธอในราคา
กันเอง เธอเอาเงินที่เก็บรวบรวมไว้
เซ้งโรงงานนั้นมาเป็นของเธอ

     ก่อนที่เราจะจากกันเธอบอกว่า 
"คนเราเป็นอย่างที่ตัวเองคิด ฉันเคย
โง่เพราะเคยคิดว่าตัวเองโง่ ตอนนี้ฉัน
คิดว่าฉันทั้งฉลาดทั้งเก่ง ฉันเป็นเจ้า
ของโรงงานและจบด๊อคเตอร์
ทุกอย่างที่เราเป็น เรามี ในวันนี้ 
เพราะเราเรียกหามันเอง
     จากความคิดของแกเองก็
เหมือนกัน คิดให้ตัวเองผอมเสียที
แทนที่จะคิดว่าแกจะต้องผอม
(ไปโฟคัสที่ความอ้วน=คิดในสิ่งที่
ไม่ต้องการ)
มันเหมือนกับฉันเมื่อก่อนไง ที่คิด
ว่า "ฉันไม่ได้โง่นะ"
(ไปโฟคัสที่ความโง่=คิดในสิ่งที่ไม่
อยากเป็น)


       
       

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คนเดียวในดวงใจ...?


     ความจริงแล้วไม่เคยมีใครที่จะเข้า
ไปแทนที่คนอื่นในจิตใจของใครได้
และไม่เคยมีใครเข้าไปเติมเต็มความ
รู้สึกเสียใจที่ใครเคยได้รับได้

     คนเราไม่สามารถลืมอดีตได้ เพราะ
มันซึมลึกไปอยู่ทุกอณูของร่างกาย

     เมื่อใดก็ตามที่เขาได้พบเจอกับเหตุ
การณ์คล้ายๆกันกับที่เขาเคยเจอ
มันอาจฉุดดึงเขาเข้าสู่อารมณ์ที่เคย
เกิดขึ้นมาก่อนในอดีต อย่างช่วยไม่ได้
เช่น ถ้าเขาได้ยินเพลงเก่าๆที่เคยฟัง
กับคนเก่าๆ เขาอาจถูกดึงกลับไปใน
ช่วงวันวานที่ยังหวานอยู่กับคนเก่าๆนั้น
โดยไม่ได้ตั้งใจ

     ถ้าเขาคิดถึงอดีตของเขา แต่เขา
"เลือก" ที่จะปล่อยวางให้มันอยู่ตรงนั้น 
เพราะอดีต ก็เป็นเพียงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมา...
เท่านั้น 

     ถ้าเขาวางอดีตลงได้ และปล่อย
ความรู้สึกต่างๆที่เคยเกิดขึ้นออกไปได้
โดยการเก็บแต่บทเรียนจากเรื่องนั้นๆ
ไว้แทน

     อดีต ก็จะเป็นเพียงฉากในภาพยนต์
บางเรื่องที่เคยดู ที่ทำให้แวบเข้ามาใน
ความคิดครู่หนึ่งแล้วก็จะเลือนหายไป



     อดีตก็คืออดีต มันเคยเกิดขึ้นไปแล้ว 
ณ ปัจจุบัน มันก็เป็นอะไรที่จบลงไปแล้ว 
มันเป็นเพียงเรื่องเก่าๆกับคนเก่าๆ...เท่านั้น

     คำว่าคนเดียวในดวงใจ ในความหมาย
นี้  ก็คือ
  "คนเดียวในเวลานี้ คนเดียวในปัจจุบันนี้"
ไม่ได้หมายความรวมถึง การทีเขาจะลืม
คนเดียวในดวงใจ "ในอดีต" ของเขาไป
ได้

     ดังนั้น เมื่อไม่มีใครสามารถแทนที่ใคร
ด้ ก็จงพอใจที่ได้เป็นปัจจุบันของใคร
บางคน น่าจะดีกว่าจะมากังวลกับอดีต
ของเขา

     เราไม่สามารถ ห้าม ไม่ให้ใครคิดถึง
อดีตของเขาได้ เพราะสิ่งนั้นมันซึมอยู่ใน
เลือดเนื้อ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน

     ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญ มีความสุขกับ
ปัจจุบันดีกว่า ลองคิดดู...

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คุณรักตัวเองหรือรักคนอื่นมากกว่ากัน


คุณรักตัวเองหรือรักคนอื่นมากกว่ากัน
     คำถามยอดฮิตจากควิชยอดดัง

     ผู้ที่ทำควิซถ้าได้รับคำตอบว่า เขา
รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง มันจะทำให้เขา
รู้สึกว่า ตัวเองเป็นบุคคลที่ควรยกย่อง 
หรือไม่?

     ผู้ที่ได้รับคำตอบว่า รักตัวเองมาก
กว่าคนอื่นมันจะทำให้เขารู้สึกว่าคนอื่น
จะมองว่าตัวเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่าง
มากที่รักแต่ตัวเอง ไม่รักคนอื่น     

     มนุษย์เราให้คำนิยามความรักไว้มาก
มาย ผู้ที่สมหวังก็นิยามถึงความสุข ผู้ที่
ผิดหวังก็จะนิยามถึงความทุกข์ และยัง
นิยามความรักตัวเองของผู้คนว่าเป็น
ความเห็นแก่ตัว

     คนเห็นแก่ตัวที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มักจะ
เป็นคนที่ทำทุกข์อย่างเพื่อตอบสนองต่อ
ความต้องการของตนเอง โดยไม่สนใจว่า
สิ่งที่ตนเองทำจะนำความทุกข์มาให้กับ
ผู้อื่นหรือไม่ 

     นั่น ต่างจากความรักตัวเองอย่างมาก

     รักคนอื่นมากกว่าตัวเองแล้วเป็น
อย่างไร
รักตัวเองมากกว่าคนอื่นแล้วเป็นอย่างไร
คำถามออกจะวกวนเหมือนคำถามโลก
แตกที่ว่าไก่กับไข่อย่างไหนเกิดก่อนกัน

     แต่ความจริงที่แน่นอนคือ 
"คนเราจะไม่สามารถรักคนอื่นได้ถ้าไม่
รู้จักรักตัวเอง"

     ความรักที่คนเรามีให้กับตัวเองและมี
ให้กับคนอื่น ความจริงมันเป็นความรักที่
เดินควบคู่กันไป

     เราจะมีความปรารถนาดีให้กับใคร
ไม่ได้ ถ้าเราไม่มีความรักให้กับตัวเอง  
คนที่ไม่รู้จักรักตัวเองก็จะไม่รู้จักเช่นกัน
ว่ารักคนอื่นจะต้องทำอย่างไร

     การรักตัวเอง หมายถึง การเห็นในคุณ
ค่าของตัวเอง การยอมรับผิดชอบทุกสิ่งทุก
อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตว่า "เรา"  มีส่วนที่ทำให้
มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ร้อยเปอร์เซ็นต์ 
และรู้จักที่จะหาบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อ
พาตัวเองให้ออกจากปัญหาที่เกิดขึ้น ในชีวิต
ได้

     ถ้าคนเรารักตัวเองได้อย่างนี้ เขาก็จะ
สามารถรักคนอื่นและเห็นคุณค่าในตัวคนอื่น
ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไม่
ยาก และสามารถที่จะเอาตัวเองเข้าไปช่วย
เหลือผู้อื่นในยามที่คับขันได้เช่นกัน

     นั่นเป็นเพียงเพราะเขารักตัวเอง ไม่ได้
เป็นการรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง

     ความรักเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับพวกเรา 
มันเป็นคุณลักษณะที่อยู่ในตัวเรา
(Being in Love by OSHO )
เมื่อเรารักตัวเอง มันจะเปิดทางเลื่อนไหล 
ทำให้เรารักคนอื่นได้

     ดังนั้น อย่าถามว่าเรารักตัวเองมากกว่า
หรือรักคนอื่นมากกว่า แต่ขอถามว่า 
     วันนี้เราบอกรักตัวเองหรือยัง?"                      

#รักตัวเองเพื่อที่จะรักคนอื่นเป็น
#รักตัวเองก่อน
#รักตัวเองต่างกับการเห็นแก่ตัว

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

จบงาน ถอดหัวโขน ลาโรง


จบงาน ถอดหัวโขน ลาโรง

     "งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา" ประโยคที่สะท้อน
ถึงความเป็นจริงหลายๆอย่างของชีวิต มันหมาย
ถึงการสิ้นสุดบางอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ในบางอย่าง 
     หรือสิ้นสุดบางอย่างเพื่อที่จะได้สิ้นสุดตามมัน
ไปด้วย 

     งานเลี้ยงใดๆจะไม่สามารถมีไปได้ตลอดเวลา 
เพราะคนในงานเมื่อสนุกสนานระยะหนึ่งแล้วก็อาจ
จะอยากกลับบ้าน หรืออาจจะอยากไปสนุกที่อื่น
ต่ออีก

     เหมือนชีวิตการทำงานของหลายๆคนที่ช่วง
การใช้ชีวิตในการทำงานคล้ายกับอยู่ในงานเลี้ยง
ที่เปี่ยมไปด้วยสีสรรและความสนุกสนาน 

     แน่นอนว่า มันย่อมสิ้นสุดลงเหมือนงานเลี้ยง
นั่นแหละ เพราะมันเป็นข้อจำกัดที่สังคมกำหนด
ขึ้นมาว่า คนเราจะทำงานกันแค่อายุเท่านี้เท่านั้น 
หลังจากนั้นพวกเขาต้องให้คนอื่นมาทำ

     สังคมบอกว่า วัยของพวกเขาไม่ใช่วัยที่ต้อง
มานั่งทำงานอีกต่อไป  สังคมจะเมตตาพวกเขา
ด้วยการให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตในวัยหลังทำงานนี้
ด้วยการนั่งชมนกชมไม้ไปวันๆอย่างมีความสุข 
ปล่อยหัวสมองให้โล่งราวกับคนไร้ความคิด แล้ว
จากนั้นพวกเขาจะได้ไม่ต้องคิดอะไรที่ยุ่งยาก
อีกต่อไป 

     นั่นเป็นความเชื่อที่
คนเราถูกยัดเยียดให้
คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่
ทุกคนที่จะคิดแบบนั้น
เพราะว่า ก็ยังมีคนที่เลิก
จากงานเลี้ยงนี้แล้วยัง
ไปต่องานเลี้ยงอื่นๆได้อีก 

     พวกเขาแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างไร?

     มีฐานะดีกว่าหรือ  มีโอกาสมากกว่าหรือ 
หรือว่าก่อนลาโรงพวกเขาสวมหัวโขนที่เป็น
ตัวสำคัญ?

     สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเป็นข้ออ้างที่หยุดความ
สามารถของพวกเขาบางคนไว้ว่าหลังจากต้อง
เกษียณจากการทำงาน ถอดหัวโขนคืนไว้หลัง
เวที แล้วเดินจากเวทีแห่งนั้นไป 

     พวกเขาต้องพักผ่อน! ชีวิตถึงเวลาพัก!

     แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าข้อกำหนดของสังคมคือ  

     "พวกเขาคิดอย่างไรกับตัวเอง"

    คนที่ทำงานครบตามที่สังคมกำหนด  บางคน
อาจจะมีความคิดเหมือนที่สังคมบอก คือ พอกัน
ทีเหนื่อยมามากแล้วกับการทำงาน อยากจะนอน
เฉยๆอยู่กับบ้าน

     บางคนอาจไม่คิดเช่นนั้น พวกเขายังคงทำ
บางสิ่งบางอย่าง แม้จะไม่ใช่งานที่ทำประจำ 
และแน่นอน สิ่งที่เขาทำมันอาจจะทำให้เขา
สามารถขึ้นไปโลดแล่นบนเวทีอีกครั้ง 

    คนละเวที แต่ก็ยังโดดเด่น ภาคภูมิใจในความ
สามารถอันไร้ขีดจำกัดของตัวเอง

     เขายังคงสามารถที่จะทำงานได้ต่อไปอย่าง
แน่นอน

     "เขาตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยตัวเองให้ว่าง" 

     เขาไม่ยอมที่จะเป็นดอกไม้ไร้ดิน บำรุง
ปล่อยตัวเองจนห่อเหี่ยวคากิ่งของมันและ
ร่วงหล่นลงดินในที่สุด

     ในช่วงปลายเดือนกันยายนของทุกปี ก็จะ
เป็นช่วงสิ้นสุดของงานเลี้ยงของใครบางคน 
เพราะบางสิ่งบางอย่างที่บางคนมี บางคนเป็น 
ทำให้พวกเขามีชีวิตที่สุขสำราญราวกับอยู่ใน
งานเลี้ยง 

     สนุกสนานมีความสุข มีเรื่องกวนใจ มีความ
ครึกโครมในชีวิตแล้วกลับมาสงบสุขกับมัน มัน
สร้างสรรค์รสชาติที่เยี่ยมยอดในชีวิตของพวก
เขา 

     เมื่อถึงเวลาที่งานเลี่ยงต้องเลิก พวกเขาอาจ
ทนรับไม่ได้ถ้าขาดมันไปจากชีวิต

     แต่สำหรับบางคนที่บางสิ่งบางอย่างทำให้
ไม่พึงพอใจในระหว่างงานเลี้ยง พวกเขาก็อาจ
จะเริงร่าที่งานเลี้ยงนั้นเลิกราไปได้ พวกเขาเบื่อ
เต็มทนกับชีวิตแบบนั้น

     ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร แต่จะมีสิ่งหนึ่ง
ที่สำคัญซึ่งพวกเขาจะต้องทำเหมือนๆกัน คือ 
เมื่องานเลี้ยงจบลง ถอดหัวโขนออก และเดินลง
จากเวทีแล้ว นั่นก็คือ พวกเขาต้องตัดสินใจว่า 
เขาจะทำอย่างไรต่อไปกับตัวเองดี 

     อยากเป็นรถยนต์ที่ยังเร่งเครื่องเต็มกำลัง
หรือจะเป็นรถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทให้ฝุ่นจับหนา
อยู่ในโรงรถรอวันถูกเข็นเข้าอู่และถูกถอดเป็น
ชิ้นๆเพื่อนำไปขายเชียงกง


     
     ชีวิตนี้เหมือนดั่งเป็นจินตนาการ และจินตนา
การย่อมไม่มีวันสิ้นสุด แม้ว่าบทบาทเด่นบนเวที
ในสังคมจะจบลง ความสามารถและคุณค่าของ
พวกเขา จะยังคงโดดเด่นเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่
บนเวที 

     ยังมีเวทีอื่นๆอีกมากมายที่ต้องการตัวแสดง
เก๋าๆอย่างพวกเขา ที่จะเข้าไปรับบทบาทได้ 
แม้นจะไม่ใช่พระเอก นางเอก แต่ก็เป็นบทบาท
ที่สำคัญ "เป็นตัวเอก"  ที่ขาดไม่ได้ 

     "ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวก
เขาเอง คนเราเป็นในสิ่งที่ตัวเองคิด"

     ในวัยลาโรง พวกเขากลายเป็นบุคคลที่ทรง
คุณค่า  เต็มเปี่ยมด้วยประสบการณ์ และแน่นอน
ที่สุดว่า พวกเขาทุกคนล้วนยอดเยี่ยม!!!

     "วัยเกษียณ คือวัยแห่งความรุ่งโรจน์อย่าง
แท้จริงของพวกเขา 
     พวกเขาจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่เคย
ได้ทำ"

     นั่น...มันสุดยอดอย่างมาก !!!   
                                    


#อายุเป็นเพียงตัวเลข #ไม่ใช่ข้อจำกัดความสามารถ
#เราเป็นอย่างที่เราคิด #ความสุขกระชากวัย

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อดีตใครคิดว่าไม่สำคัญ


     คนเราลืมอดีตได้จริงหรือ?
     เราอาจจะได้ยินคนพูดบ่อยๆว่า ฉันลืมอดีต
ไปหมดแล้ว โดยเฉพาะคนที่เคยอกหักรักคุด
เขามันจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เรื่องอดีต
เขาลืมไปหมดสิ้นแล้ว

     ถ้าคนเราลืมอดีตได้จริง ถ้าอย่างนั้นพี่ฤกษ์
เวลาที่เห็นใจเริงหลังจากที่เขาแต่งงานใหม่จึง
มีอาการโกรธแค้นชิงชังใจเริงอย่างชนิดที่เรียก
ว่า แค้นแทบจะฆ่าใจเริงให้ตายคามือ

     อาการแบบนี้เรียกว่าลืมอดีตได้หมดแล้ว
จริงหรือ?

     ตัวอย่างของหญิงสาวคนหนึ่งเธอเป็นคนที่
ทั้งเกลียดและกลัวจิ้งจกมาก เมื่อครั้งที่เธอยัง
เป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ จิ้งจกตัวหนึ่งเคยถลาจาก
เพดานมาเกาะติดอยู่ที่ต้นคอของเธอ

     จากอดีตเมื่อครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่า
เธอจะลืมความหลังครั้งสยองไปได้แล้ว แต่เมื่อ
เห็นจิ้งจก หลายครั้งที่เธอยังมีอาการหวาดผวา
และบ่อยครั้งอีกเช่นกันที่เธอต้องหวลนึกถึง
เหตุการณ์ที่ทำให้เธอหวาดกลัวในสมัยเด็กใน
เวลาที่เธอเห็นจิ้งจก

     ถ้าเธอลืมอดีตที่เคยมีกับจิ้งจกไปได้หมดสิ้น
แล้วจริงๆ เหตุใดจึงมีการหวาดผวาทุกครั้งที่เห็น
จิ้งจก?

     หรือเรื่องของหญิงอีกคนหนึ่ง เธอเคยบิด
แขนเพื่อนเล่นสมัยเด็กจนแขนเกือบหัก
(เล่นกันตามประสาเด็กๆ)

     แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาเกือบสี่สิบปี และเธอก็
ไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว เพราะในปัจจุบันเธอ
นึกหน้าเพื่อนคนนี้ไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะเวลา
ผ่านมานานและต่างคนต่างแยกกันเติบโต มี
ชีวิตของตนเอง

     แต่เมื่อเธอได้พบเพื่อนคนนี้อีกครั้งโดย
บังเอิญหลังจากที่ไม่เคยเห็นกันมาสี่สิบกว่าปี
แล้วก็ตาม

     เรื่องแรกที่เธอนึกถึง คือภาพของเธอที่
กำลังบิดแขนเพื่อนจนเขาเลือดออกที่มุมปาก
ภาพนั้นชัดเจนราวกับภาพยนต์ที่เพิ่งสร้าง
เสร็จก็ไม่ปาน

     อดีตถูกลืมแล้วจริงหรือไร?

     อดีต มันอาจจะตามหลอกหลอนคนที่
เจ็บปวดกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น อาจจะ
ตามมาเรียกเสียงหัวเราะด้วยความสุขเมื่อ
นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้น

     แต่อดีตก็คืออดีต ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นนั้น
มันได้จบลงไปแล้ว การใส่อารมณ์ให้กับ
เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันเหมือนการเข้าไปทำ
ร้ายจิตใจตัวเองตลอดเวลา

     เหมือนกับพี่ฤกษ์ที่มีอาการโมโหแทบบ้า
ทุกครั้งที่เห็นใจเริง อาการนั้นก่อให้เกิด
ความหวาดระแวงให้กับผู้ที่เป็นภรรยา ซึ่งก็
รู้เห็นอดีตของสามีมาก่อนว่าเขาเคยรักคนที่
เขากำลังทำท่าว่า "เกลียด" นี้ เพียงใด

     เธออาจเริ่มระแวงว่าสามีเธอนั้น กำลัง
เกลียดจริงหรือว่ายังรักไม่เลิกกันแน่?

     อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริงที่หลีก
เลี่ยงไม่ได้ว่า เราทุกคนไม่มีวันที่จะลืมอดีต
ของตนเองได้

     ประสบการณ์ในอดีตนั่นมันซึมลึกเข้าไป
เป็นเลือดเป็นเนื้อเป็นตัวตนของเราที่เป็นอยู่
ในทุกๆวัน

     เมื่อเราลืมอดีตไม่ได้ สิ่งที่ควรทำคือ ทิ้ง
อารมณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ใน
อดีตนั้นออกไป ให้เหลือไว้เพียง"บทเรียน"
ที่สอนเราให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
อย่างไร

     เมื่อนึกถึงอดีต ให้นึกถึงบทเรียนจาก
เรื่องนั้น เราไขว่คว้าทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น
ในอดีตให้มันกลับมาไม่ได้ แต่เรายัง
สามารถใช้บทเรียนที่เคยเกิดในอดีตนั้น
มาใช้แก้ปัญหาบางอย่างให้กับตนเองและ
ให้กับผู้อื่นได้

     "อดีต" สามารถทำให้เรารู้สึกได้ถึง
คุณค่าของชีวิต

     ทำให้ดีใจที่ยังได้รับรู้ถึงความอ่อนโยน
ของสายลม ทำให้เราภาคภูมิใจที่สามารถ
ผ่านพ้นช่วงเลวร้ายนั้นๆมาได้

     เมื่อเราลืมมันไม่ได้ เราจึงต้องเก็บ
"บทเรียน" จากมันเอาไว้เป็นประสบการณ์
ที่มีค่าของเรา

     เพราะว่านี่แหละคือรสชาติของชีวิต

(อ้างอิงจากเรื่องเพลิงบุญ บทประพันธ์
โดย กฤษณา อโศกสิน)


วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เป็นห่วงเป็นใย เป็นยังไง

เมื่อเพื่อนสนิทสองคนคุยกันด้วยใบหน้า
แจ่มใสมีความสุข หัวเราะร่าเริง เมื่อพูดถึง
ลูกชายวัยเริ่มหนุ่มเพื่อนคนหนึ่งก็หยุด
หัวเราะหน้าตาเอาจริงเอาจังขึ้นมา
เพื่อน 1 : เพื่อนรักของลูกชายเรา เขาต้อง
ติดตามพ่อแม่ไปต่างประเทศ เราเป็นห่วงจัง
เพื่อน 2 : เค้าไปกับพ่อแม่เค้าเธอจะห่วงไป
ทำไม
เพื่อน 1 : ไม่ใช่ เราเป็นห่วงลูกเรา
เพื่อน 2 : เอ๊า เป็นงั้นไป ห่วงอะไร ห่วงทำไม
เพื่อน 1 : ห่วงว่าลูกเรามันจะอยู่ไม่ได้ เนี่ยมัน
นั่งซึม เลิกซึมก็เอาแต่เล่นเกม
เพื่อน 2 : มันยังเล่นเกมได้ ก็ไม่น่าเป็นห่วง
หรอกถ้ามันคิดถึงเพื่อนจนกินไม่ได้นอนไม่
หลับสิค่อยน่าเป็นห่วงหน่อย ว่าไม๊
เพื่อน 1: มันไม่ใช่อย่างนั่นสิเรากลัวว่ามันจะ
อยู่คนเดียวในโลกนี้ไม่ได้ ถ้าเรากับแฟนตาย
ไปเราพยายามนั่งพร่ำบอกลูกมาหลายวันแล้ว
เรื่องที่เค้าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ เราคุยกับลูก
ทุกวันแหละว่าพ่อกับแม่ต้องตาย แล้วลูกต้อง
อยู่คนเดียวในโลกนี้ให้ได้นะ เรากลัวลูกอยู่
ไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จักโตเลย
เพื่อน 2 : กลัวเกินเหตุไปไม๊?  "ตอนนี้" ยังไม่ได้
ตายจากกันนี่ กลัวลูกจะอยู่คนเดียวไม่ได้ เธอก็
ต้องสอนเขาให้รู้ว่า เขาจะใช้ชีวิตลำพังได้ยังไง
ฝึกให้เขาหุงข้าวทำกับข้าว ฝึกให้เขาซื้อของกิน
ให้เป็น หรือฝึกให้เขามีเหตุผลในการใช้จ่ายเงิน
สอนให้เขารู้จักคบคนออกไปมีปฎิสัมพันธ์กับ
คนอื่นบ้าง แทนที่จะก้มหน้าก้มตาเล่นแต่เกม
ให้เขารู้ว่าการอยู่คนเดียวมันต้องทำยังไง สอน
เขาดีกว่าว่าคนที่โตๆแล้วควรทำยังไง ดีกว่าไม๊?
แทนที่จะมานั่ง คิดเองว่าลูกไม่รู้จักโต แล้วมานั่ง
พร่ำบอก ขู่ลูกว่าตัวเองจะตาย อยากให้ลูกรู้สึก
ยังไงเหรอ???
 🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘🐘


     "เป็นห่วง" คำที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ที่มีคน
ที่รัก ถ้าใครสักคนเป็นห่วงใครสักคน แล้วอีกคน
บอกว่าไม่ต้องห่วงเขาคงโมโหไม่น้อย "ก็คนเป็น
ห่วง จะบอกให้ไม่ต้องห่วงได้อย่างไร"

     แล้วที่บอกว่าเป็นห่วงนั้น เป็นห่วงอย่างไร คน
เราส่วนใหญ่เวลาเป็นห่วงใครสักคน เขามักจะคิด
ในสิ่งที่เขาเป็นห่วง มันเป็นเรื่องธรรมดา

     เช่นเวลาลูกวิ่งเล่น พ่อแม่ก็จะกลัวลูกวิ่งหกล้ม
พวกเขาจะตะโกนห้ามไม่ให้ลูกวิ่ง เดี๋ยวจะหกล้ม
ผลที่ได้รับเขาอาจจะได้เห็นลูกล้มหัวแตก

     การที่คนเรามีความเป็นห่วง มันคือความวิตก
กังวล ในเรื่องที่ยังไม่มีอยู่จริง สิ่งต่างๆยังไม่ได้
เกิดขึ้นแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงภาพร้ายๆในความ
คิด

     แต่น้อยคนนักที่จะตระหนักว่า ภาพร้ายๆที่เรา
สร้างขึ้นมานี้ มันสามารถทำให้ตัวเราหรือคนที่เรา
รักต้องพบกับเหตุการณ์ตามที่เราวาดภาพได้ แล้ว
มันเป็นไปได้อย่างไร

     ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนอาจจะ
เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เช่น ในวันหนึ่งที่
อากาศสดใส บรรยากาศดีและมีความสุข ขณะที่
เรารู้สึกว่ากำลังมีความสุข จู่ๆเราก็เกิดนึกถึงเรื่อง
เก่าๆที่ทำให้เราหงุดหงิดขึ้นมา (คนเราชอบฉาย
หนังเรื่องเก่าๆที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องซ้ำๆเดิมๆ
เรื่องที่ทำให้เจ็บๆปวดๆ )

     แล้วเราก็จะพูดกับตัวเองอย่างหงุดหงิด "บ้าชิบ...
วันนี้ข้าต้องเจอเรื่องแย่ๆทั้งวันแน่ มาคิดเรื่องแย่ๆ
แต่เช้า" แล้วในวันนั้นทั้งวัน เราก็จะพบแต่เรื่องที่ทำ
ให้เราหงุดหงิดตามมาอีกหลายเรื่อง จนเราเข้านอน

     เรื่องแบบนี้ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของ
โชค คิดไม่ดีโชคร้ายตลอดวัน แต่ตามกฎของแรง
ดึงดูด เราสร้างความถี่ในระดับแย่ๆ มันจึงดึงดูดสิ่ง
ที่มีความถี่ "แย่ๆ" ในระดับเดียวกันเข้ามาหาเรา

     ดังนั้น การเป็นห่วงและการวาดภาพที่แย่ๆว่าคน
ของเราจะต้องพบกับเรื่องแย่ๆ มันจึงเป็นการสร้าง
คลื่นความถี่ที่ดึงดูดสิ่งเดียวกันเข้ามาหาอย่างช่วย
ไม่ได้

     มาหาทั้งเราและคนที่เรารัก เพราะคนที่มีความ
รักผูกพันกัน เราอาศัยอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน

     เมื่อเป็นห่วง ก็ควรคิดถึงสิ่งดีๆที่จะมาหาคนที่
เราเป็นห่วง คิดถึงความมีสุขภาพที่ดี ความสุข
ความสำเร็จของเขาและมีความสุขกับภาพความ
สำเร็จของเขา

     ไม่ใช่มัวแต่วิตกกังวล และเฝ้ารอดูว่ามันจะมี
เรื่องอะไรที่แย่ๆ (ตามที่เราคิดไปเอง) เกิดขึ้นกับ
เขาในตอนนั้นแล้วก็พูดสำทับว่า "ฉันว่าแล้ว...และ
มันก็เกิดขึ้นมาจริงๆ ไม่ผิดไปจากที่คิดเลยแม้แต่
น้อย"

     ชีวิตไม่ต้องรอให้มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น เราคิดให้
ดีได้เสมอ

     คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมความสุข ไม่ได้เกิดมา
เพื่อคิดเรื่องทุกข์
                     

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เราทุกคนเป็นพระเอกและนางเอก

   
 
 เราอาจจะเคยพบพระเอกนางเอกใน
ชีวิตจริงกันมาแล้ว เขาและเธอจะขี่ม้าขาว
เข้ามาช่วยเราให้พ้นจากปัญหาหรือดึงเรา
ขึ้นมาจากอารมณ์แย่ๆ ให้กำลังใจและสนับ
สนุนเราโดยที่พวกเขาก็ไม่ได้หวังผลตอบ
แทนอะไร

     เขาทำไปในฐานะที่เราเป็นเพื่อนมนุษย์
เหมือนๆกันกับเขา...เท่านั้น

     เราเองก็อาจจะเคยเป็นพระเอกหรือ
นางเอกในขีวิตของใครหลายๆคนเหมือนกัน
เราอาจช่วยให้เขาหรือเธอได้ผ่านช่วงเวลาอัน
มีผลต่อชีวิตหรือความรู้สึกของพวกเขามาได้
เช่นกัน

     และแน่นอนอีกเหมือนกันว่า เราทุกคน
ก็สามารถที่จะเป็นจอมมารในชีวิตของคน
อื่นได้เหมือนกัน ด้วยการพูดหรือกระทำการ
ที่เป็นการทำร้ายจิตใจของผู้อื่น ไม่ว่าจะทำ
โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

     เรื่องนี้เป็นผลมาจากการทำตามอารมณ์
ที่ไร้การควบคุม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็น
อย่างมาก

     เพราะโลกนี้ก็จะมีไอ้โง่เพิ่มขึ้นมาอีก
คนหนึ่งในเวลานั้น เพราะขณะที่เขาตอกย้ำ
ผู้อื่นโดยคิดว่าเป็นไอ้โง่ ตัวเขากลับตอกย้ำ
ความเป็นไอ้โง่ของตัวเองก่อน

     การที่มนุษย์จะทำร้ายผู้อื่นได้ เขาต้อง
ทำร้ายตัวเองก่อน เพราะขณะที่เขาเหยียด
หยามคนอื่นว่าโง่ ความรู้สึกเหยียดหยามและ
คำพูดที่เสียดแทงนั้นมันพูดและทำตัวเองก่อน

     ฉะนั้น พระเอกหรือนางเอกในชีวิตของ
คนอื่น ก็คือผู้ที่ซึ่งในเวลานั้นมีจิตใจที่เมตตา
มีความรักให้กับคนอื่น

     เมื่อเราทำสิ่งดีๆให้คนอื่นด้วยความตั้งใจดี
สิ่งที่ดีเหล่านั้นก็จะเกิดกับตัวเขาก่อน และนั่น
คือประกายของความเป็นพระเอกนางเอกของ
พวกเขา

     แต่ก็น่าแปลกที่ใครอีกหลายคนชอบสร้าง
ประกายของจอมมาร ยังโชคดีที่โลกใบนี้ไม่ได้
เป็นพวกเดียวกันกับพวกมาร พวกเขาจึงเป็นคน
ส่วนน้อยที่น่าเห็นใจ และสมควรได้รับความรัก
ที่มากกว่าคนทั่วไป

     เพราะเขาอาจจะขาดความรักมาก่อน หรือ
เขาอาจเคยโชคร้ายที่ได้พบจอมมารมาก่อน
จึงทำให้มีความประทับใจที่ร้ายกาจจนต้องนำ
ออกมาใช้กับผู้อื่น เหมือนที่ตนเองเคยพบมา
ก่อน

     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะต้อง
เป็นผู้ตัดสินว่า เขาอยากจะเป็นพระเอกหรือ
เป็นจอมมาร

     นั่นเพราะในความเป็นมนุษย์ พฤติกรรม
ของเราก็จะอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราจะเป็นใน
สิ่งที่เราคิด เป็นเช่นนี้...ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น

                                        S.Th
                       

#รักในสิ่งที่ทำ I love everything I do
#รักตัวเองให้มากๆ #คนเราเป็นในสิ่งที่ตัวเองคิด
#เราทุกคนเป็นพระเอกนางเอกของคนอื่น

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คนที่ใช่กับคนที่รัก


     ตัวอย่าง เรื่องเล่าระหว่างพ่อกับลูกสาว
พ่อ : ลูกรัก ปีนี้หนูก็อายุจะสามสิบแล้ว หนูควร
จะหาคนแต่งงานด้วยได้แล้วนะ
ลูก : หนูกำลังรอคนที่ใช่อยู่ค่ะพ่อ
พ่อ: พ่อว่าหนูหาคนที่หนูรักดีกว่าไม๊ลูก คนที่ใช่น่ะ
มันไม่มีในโลกนี้หรอกนะลูกรัก
ลูก : ถ้าหนูเจอคนที่ใช่หนูก็จะรักแน่ค่ะพ่อ

🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺

     เวลาที่เธอหรือเขารู้สึกว่าตนเองกำลังมีความรัก
เธอหรือเขาจะทุ่มเทจิตใจให้กับคนๆนั้น รู้สึกว่าตัวเอง
รักคนๆนั้นอย่างสุดหัวใจและเขาคนนั้นเป็นคนที่ใช่
สำหรับตนเอง

     แต่เมื่อมาพบในภายหลังว่าเขาคนนั้นไม่ได้เป็น
อย่างที่ตนเองคิด หรือเขาคนนั้นเดินหนีออกไปจาก
ชีวิต  ละครฉากเศร้าก็จะเริ่มขึ้น

     และบางทีอาจใช้ระยะเวลานานกว่าจะจบลง
พร้อมด้วยข้อกังขาที่ร้องเป็นเพลงได้ว่า "ทำไมถึง
ทำกับฉันได้..."
(เพลงดังเพลงหนึ่งที่บันทึกเสียง ร้องโดยดาวใจ ไพจิตร
เมื่อ พ.ศ. 2518 ประพันธ์คำร้องโดยครูจงรัก จันทร์คณา 
ดัดแปลงมาจากทำนองเพลงจีน )

     มีผู้กล่าวไว้ในเรื่องของความรักว่า "ความรักจะงอก
งามได้ไม่ต้องอาศัยความสมบูรณ์แบบ ความรักไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของอีกฝ่าย มันเป็นแค่ เรา....
เท่านั้นที่รัก แค่เพียงรัก"
 (หนังสือ being in love OSHO)

     ถ้าเช่นนั้นมันหมายถึงรักอีกฝ่ายหนึ่งเพียงข้างเดียว
เท่านั้นก็พอ ใช่หรือไม่?

     มันออกจะเป็นการขัดกันไม่น้อยถ้าจะตอบว่าใช่
เพราะขนาดการทำสัญญาตามกฎหมายแล้ว ยังต้องมี
ฝ่ายเสนอและฝ่ายสนอง เมื่อเสนอและสนองถูกต้อง
ตรงกันก็เกิดสัญญาขึ้น "เป๊ะ"

     แต่นั่นเป็นแค่การเสนอและสนองเท่านั้น มันตั้งอยู่บน
ผลประโยชน์ที่ วินวิน ของทั้ง สองฝ่าย มันคนละเรื่องกัน
กับความรัก 

     เพราะความรักที่แท้จริง กลับเป็นเพียงขอแค่ตัวเรา
เท่านั้นที่ี่เป็นฝ่าย "รัก" ไม่ได้มีความเกี่ยวกับอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่อย่างใด

     การที่คนเราจะรู้สึกรักใครสักคน เขาจะรู้สึกว่าคนๆนั้น
เป็นคนที่ใช่  ใช่ในเรื่องการแต่งกาย ใช่ในเรื่องความสุภาพ
อ่อนโยน ใช่ในเรื่องความหล่อความสวย และแม้แต่ ใช่ ใน
เรื่องกลิ่นกาย(ซึ่งแม้คนอื่นจะคิดว่ากลิ่นตัวแบบนี้เหม็น แต่
สำหรับเขา กลิ่นนี้คนๆนั้นมันโอเคมาก...)

     คนผู้ซึ่งตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่คิดว่าเขารัก จะเริ่มวาด
ภาพคนที่เขาพึงพอใจออกมา และปักใจเชื่อว่า นั่นคือคนๆ
นั้นที่ใช่

     เขาจะสร้างภาพมายาขึ้นมาในใจว่าคนๆนั้นเป็นสุดหล่อ
สุดสวยของเขา เป็นคนที่ใช่ และเอาชื่อของคนๆนั้นใส่เข้า
ไปในภาพมายาของคนๆนั้นที่ตนเองจะวาดไว้อย่างสวยงาม
พร้อมกับการบรรจุความ "สมบูรณ์แบบ" ตามที่เขาต้องการ
ลงไปในภาพมายานั้น

     สร้างตัวตนปลอมๆของคนๆนั้นที่แสนจะถูกใจ น่ารัก
ออกมา และเชื่ออย่างสนิทใจว่าคนๆนั้นเป็นคนที่เขารัก
และคนๆนั้นก็รักเขาเช่นกัน

     ไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร มันจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกใจเขา
ที่สุด ที่ไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้จะเป็นได้ คนๆนั้นเป็นหนึ่ง
เดียวในใจของเขา

     เมื่อคนๆนั้นเดินออกไปจากชีวิตของเขา หรือทำในสิ่งที่
เขาไม่ได้คิดวาดฝันไว้ นั่นจึงทำให้เขารู้สึกว่าเขาอกหัก
อย่างยับเยิน

     ภาพมายาที่เขาสร้างไว้เริ่มกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่
เคยวาดภาพให้กับคนๆนั้น ความน่ารักนักหนาของคนๆนั้น
กลับเปลี่ยนแปลงไป สิ่งนี้ทำให้ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด 

     ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หลายๆคนคิดว่า มันคือความ
เจ็บปวดที่ผิดหวังจากความรัก

     แต่ความจริงแล้ว ควรกล่าวได้ว่ามันเป็นความสงสาร
ตัวเองมากกว่า สงสารตัวเองว่าคนในฝันของตนบัดนี้กำลัง
จะจากไปแล้ว สงสารตัวเองที่บัดนี้คนผู้ซึ่งเราคิดว่าเขาเลอ
เลิศที่สุด(ซึ่งเราอุปโหลกเอาเองว่าเขาหรือเธอเป็นเช่นนั้น)
ได้ก้าวออกจากชีวิตเราไปแล้ว สงสารตัวเองเมื่อนึกถึงเวลา
เคยอยู่ด้วยกัน สงสารตัวเองที่จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่คนผู้นั้น
เคยยิ้มให้ และสงสารตัวเองที่จะไม่ได้สัมผัสตัวของคนผู้
นั้นอีก คนที่สมบูรณ์พร้อมของเขาจากไปแล้ว

     พวกเขากำลังอาลัยอาวรณ์กับภาพมายาในใจที่พวกเขา
สร้างมันขึ้นมาต่างหาก! นั่นเป็นความสมบูรณ์แบบที่เขาสร้าง
ขึ้นมาเองในใจ โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ไม่เคย
เป็นมาตั่งแต่ต้น แต่เขากลับชื่นชมหลงใหลในสิ่งที่อีกฝ่าย
ไม่เคยเป็น เขามองเห็นแต่สิ่งที่ต้องการจะเห็น สิ่งที่ต้องการ
จะให้อีกฝ่ายเป็น ทั้งที่มันไม่ใช่

     เขามองความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีจริง ความสมบูรณ์แบบ
ที่ตนเองอุปโหลกมันขึ้นมาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็น ความจริงแล้ว
เขาไม่เคยมีความสมบูรณ์แบบเช่นนั้น

     คนทุกคนมักจะถามหาความสมบูรณ์แบบจากคนที่เขา
คิดว่าเขาเริ่มสนใจ ในเรื่องนี้ผู้รู้กล่าวไว้ว่า "เราไม่ต้องถาม
หาความสมบูรณ์แบบจากคนที่เราจะรัก เพราะเราจะหามัน
ไม่พบ และเราก็จะไม่ต้องมานั่งสงสารตัวเองถ้าต้องเสียคนๆ
นั้นไป เพราะเราจะรักแบบไม่สร้างเงื่อนไข เราเพียงแค่รัก
เขาเท่านั้น ซึ่งหากเขาไม่รักเราก็ไม่เป็นไร และถ้าหากเขามี
ใจรักตอบเราเช่นกัน นั่นก็คือ "ความโชคดี" ของเรา"
 (หนังสือ being in love OSHO)

     เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า "คนที่เขาคิดว่า"เป็น"
ไม่ได้ "เป็น" อย่างที่เขาคิด"

     เขาเป็นผู้สร้างภาพนั้นขึ้นมาจากสิ่งที่เขาอยากให้อีกฝ่าย
หนึ่ง"เป็น"ต่างหาก คนที่เขารักคือคนที่เขาสร้างขึ้นมาครอบ
ตัวจริงของอีกฝ่ายหนึ่งไว้เท่านั้น เขาไม่ได้รักในตัวตนจริงๆ
ของอีกฝ่ายหนึ่งเลย

     ดังนั้น หากจะรักใครสักคน ควรรักเพราะรัก รักแบบไม่มี
เงื่อนไข รักอย่างที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็น "รัก" โดยไม่เรียกร้อง
ที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นแบบที่ตนชอบ
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งรักตอบเช่นกัน เมื่อนั้นเขาก็จะเป็นอีกผู้หนึ่ง
ที่โชคดีได้กลายเป็นคนที่ถูกรัก
                           

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

อยู่กับปัจจุบัน...ดีกว่า


กับคำถามที่ว่าภาพความหลังครั้งเก่าๆ
ทำให้เรานึกถึงอะไร?

     เป็นความจริงว่าเรื่องราวข้างหลัง
ภาพนั้นมีจริง บางครั้งก็ยืดยาวเหมือน
ภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่นำมาสร้างใหม่
หลายครั้ง

     ภาพๆหนึ่งที่เมื่อเราหยิบขึ้นมาดู อาจ
จะทำให้เรารู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าสับสนปนเป
กันจนแยกไม่ออก เหตุการณ์ในอดีตอาจ
จะปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ และแน่นอน
ที่สุดว่า มันจะเต็มไปด้วยอารมณ์และความ
รู้สึกเหมือนเรากลับไปร่วมรู้สึกกับเหตุการณ์
นั้นอีกครั้ง

     คงมีไม่มากหรอกที่เบื้องหลังภาพอันแสน
เศร้านั้นจะทำให้เรายิ้มได้เวลาหยิบภาพขึ้น
มาดู แต่ก็คงมีไม่มากนักอีกเหมือนกันทีคน
เราจะเจาะจงทำการบันทึกอันภาพแสนเศร้า
นั้นไว้ในรูปของภาพถ่ายเพื่อทำเป็นที่ระลึก
แห่งความเศร้า

     แม้ว่าจะไม่มีการบันทึกภาพแสนเศร้าไว้
และบันทึกภาพเก่าๆที่มีแต่เพียงรอยยิ้มอัน
สดใส ภาพนั้น ก็อาจทำให้เจ้าของภาพเกิด
อาการสะท้อนใจและหวนคิดถึงความหลัง
บทหนึ่งที่แสนเศร้าของตนเองได้เหมือนกัน
หากภาพนั้นเกิดแทงใจดำและกระชาก
ความรู้สึกเก่าๆที่เราคิดว่าเลือนหาย
ไปจากความทรงจำให้กลับมาบีบคั้น
จิตใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง

 
     ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า
มนุษย์เป็นนักเล่าเรื่อง
ทุกคน แม้แต่คนที่เงียบ
ขรึม เขาก็ยังเป็นนักเล่า
เรื่องตัวฉกาจเช่นกัน เรา
ทุกคนมีความชำนาญในการเล่าเรื่อง มีทั้งเรื่อง
จากอดีตและเรื่องที่ยังไม่เกิดแต่เราวาดภาพว่า
มันจะเกิดในอนาคต เราจะเล่าให้ตัวเองฟังบ่อยๆ
ซ้ำๆ หากเป็นเรื่องราวในอดีตมันอาจจะหวน
กลับมาเมื่อมีบางอย่างมากระทบอารมณ์ และ
อาจจะทำให้ เราเล่าเรื่องที่ส่งผลให้ตัวเองต้อง
เศร้า เจ็บปวด

     สิ่งนี้ทางพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นสัญญา หรือ
การจำได้หมายรู้ สัญญา หมายถึงความจําได้
ความหมายรู้ต่างๆ อันมีสมองเป็นเหตุปัจจัยอัน
สําคัญที่ทำให้เกิดการกระทบกับอารมณ์ เรียก
ได้ว่า เป็นสัญญา 2 ครั้ง

     ครั้งแรกเป็นสัญญาที่จดจําและเข้าใจในสิ่ง
ที่เห็นนั้น (กระทบเห็นหรือผัสสะ)  ส่วนครั้งที่ 2
เป็นสัญญาหมายรู้ ที่หมายถึงการคิดค้น
ประมวลผล แก้ปัญหา เปรียบเทียบ ขบคิด ฯลฯ. 
อันเป็นผลให้เกิดการสรุปผล แล้วเกิดการสั่ง
การให้เกิดหรือการกระทำต่างๆนาๆอันครอบ
คลุมทั้งทางกาย วาจา ใจ ดังนั้นเราจึงเป็นทุกข์
เศร้า                               
( จาก ขันธ์ 5 ดูรายละเอียดได้ที่ wwww.nkgen.com)

     หากเป็นเรื่องราวที่่เราเล่าถึงสิ่งที่มัน
จะเกิดขึ้นในอนาคตและเป็นเรื่องที่ร้าย
กาจที่ทำให้เรากลัวไปล่วงหน้าโดยที่ยัง
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
สิ่งนี้เรียกว่าเป็นการวิตกกังวล

     เรื่องราวในอดีตอันแสนร้ายกาจและทำลาย
ความรู้สึก กับเรื่องราวในอนาคตที่อาจทำร้าย
ร่างกายหรือจิตใจ(ซึ่งยังไม่มีอยู่จริง) สองสิ่งนี้
หากว่าเราปล่อยให้มันผ่าน้ข้ามาโดยไม่รู้ทัน
และตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน มันก็จะไม่ส่งผลหรือ
เข้ามามีอิทธิพล ทำลายความสุขที่เราควรจะมี

     มีคำกล่าวว่า เราไม่สามารถค้นพบตัวเอง
ได้ในอดีตหรือในอนาคตที่ที่เดียวที่เราสามารถ
พบตัวเองได้ก็คือปัจจุบัน (เอ็คฮาร์ท โทลเลอ)

     ดังนั้นกับคำถามที่ว่า เมื่อมองภาพเก่าๆทำ
ให้เรานึกถึงอะไร หากมันทำให้เราวาดภาพ
ความสุขในอดีต หรือความสำเร็จในอนาคต
นั่นมันสุดยอดมาก

     แต่หากมันทำให้เราอยากร้องไห้ เสียดาย
เสียใจ นึกถึงความทุกข์ในอดีตหรือ หวาดกลัว
ในอนาคต หากเรารู้ทันและตั้งสติให้อยู่กับ
ปัจจุบัน ได้
นั่น...มันยิ่งกว่าสุดยอด

     มีความสุขกับชีวิตดีกว่า Be Happy !

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

ความแตกต่างของการใช้คำ


     ระหว่างคำว่า "ฉันตัดสินใจที่จะเป็นคนผอม" กับคำว่า
"ฉันตัดสินใจที่จะไม่อ้วน"สองคำที่ฟังแล้วไม่แตกต่าง แต่
มันกลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก

     มันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงกับศาสตร์ของ NLP
คือการใช้คำในการสื่อสารกับตนเองและสื่อสารกับผู้อื่น
เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือประสบความสำเร็จ
ในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น

     หลักการของการสื่อสารนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
ต้องคิดบวก พูดบวก แต่การพูดบวกนั้นก็มีเทคนิคของมัน
อยู่เหมือนกัน

     เราจะรู้สึกอย่างไรถ้าคนสองคน    
 อวยพรเรา คนหนึ่งอวยพรว่า "ขอให้
ไม่เจ็บไม่จน" กับ อีกคนหนึ่งอวยพรว่า
"ขอให้แข็งแรงร่ำรวย"  สองคำนี้ฟัง
เผินๆเป็นคำที่ดีทั้งสองคำ แต่จะรู้สึก
หรือไม่ว่าความรู้สึกในเวลาที่ได้ยิน
คำสองคำนี้แตกต่างกัน

     มันเป็นพลังที่แฝงอยู่ในคำพูดที่ผู้คนใช้สื่อสารกับ
ตัวเองและใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ พลังในทางบวกและเป็น
พลังในการสร้างสรรค์ ให้ทั้งตัวเราและคนที่ฟังคำพูดของ
เรา ได้รู้สึกดีๆ เพื่อที่จะดึงดูดสิ่งที่ดีๆให้เข้ามาในชีวิต

     มันจึงเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการสื่อสาร ที่การโฟคัส
ในสิ่งดีๆที่เราต้องการ ก่อนที่จะสื่อสารกับตัวเองหรือสื่อ
สารกับคนอื่น
   
     คำบางคำเป็นคำที่เหมือนมองโลก
ในแง่ดี แต่โฟคัสของความคิด ความ
รู้สึกคือ การเป็นคนอ้วนนั้นดีแล้ว ดู
น่ารัก  ดังนั้น ผู้ที่ต้องการลดความ

อ้วนจริงๆ ถ้าพูดกับตนเองอย่างนี้ เขาจะไม่มีวันลดน้ำหนัก
ลงได้อย่างเด็ดขาด

     เพราะการโฟคัสของเขาไม่ได้มุ่งไปที่ความผอม แต่กลับ
ชื่นชมความอ้วนของตนเอง ซึ่งจะทำให้เขาไม่มีความจริงจัง
ในการลดน้ำหนัก หรือลดได้เล็กน้อยเขาก็จะกลับไปอ้วนอีก เพราะเหตุผลว่า ถึงจะอ้วนเขาก็ยังดูน่ารัก

 เช่นเดียวกับที่เราพูดว่า "ฉันตัดสินใจ        
ที่จะเป็นคนผอม"โฟคัสของคำนี้คือการ
เป็นคนผอม ดังนั้น เมื่อพูดกับตนเอง
เช่นนี้เขาจะสามารถทำให้ตนเองผอมลง
ได้อย่างแน่นอน

     แต่หากเขาพูดว่า "ฉันตัดสินใจจะไม่อ้วน" เขากลับกำลัง
โฟคัสไปที่ความอ้วนของตนเอง เพราะไม่มีคำใดที่เอ่ยถึงความผอมแม้แต่น้อย

     ขอให้ใช้ถ้อยคำที่สร้างพลังทางบวกอย่างแท้จริง เมื่อทำ
ได้ ความแตกต่างของการใช้ถ้อยคำ จะสามารถทำให้เกิด
ความแตกต่างในชีวิตได้                                                      


   

วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

จากสามก๊ก


น่าแค้นใจนัก สวรรค์ช่วยมัน ไม่ข่วยข้า!

     เมื่ออ้วนเสี้ยวแตกทัพพ่ายโจโฉ ทั้ง
ที่มีไพร่พลถึงเจ็ดแสน มากกว่าโจโฉถึง
สิบเท่า (โจโฉมีกำลังพลเจ็ดหมื่น) แต่
อ้วนเสี้ยวก็ต้องพ่ายแพ้แก่โจโฉด้วยความ
เขลาและความประมาทของตนเอง

     เนื่องจากโจโฉเห็นว่าทำเลที่ตั้งทัพของ
อ้วนเสี้ยวนั้นหันไปทางทิศตะวันตก โจโฉ
ใช้แผนดึงความสนใจของอ้วนเสี้ยวให้
นั่งจิบน้ำชาฟังคำเยินยอ ขณะที่ส่งทัพไป
ตลบตีทัพหลังอ้วนเสี้ยวและรอตะวันคล้อย
ไปทางทิศตะวันตก ตะวันส่องแสงแรงกล้า
เข้าตาทหารของอ้วนเสี้ยวที่ยืนทัพรอแม่ทัพ
ใหญ่ไปนั่งจิบน้ำชากับศัตรู ขับพลเข้าโจมตี
อ้วนเสี้ยวแตกทัพยับเยิน

     ขณะที่อ้วนเสี้ยวที่กระเจิงหนีตาย ตัดพ้อ
สวรรค์อย่างเคียดแค้นว่า "น่าแค้นใจจริงๆ
สวรรค์ช่วยมันแต่ไม่ช่วยข้า" ก่อนจะหนี
กระเจิงออกจากเมืองพ่ายแพ้แก่โจโฉอย่าง
หมดรูป

     และด้วยถ้อยคำท้ายนี้เช่นกันที่อ้วนเสี้ยว
เมื่อพูดจบก็ถึงแก่กาลเวลาของตนด้วยการ
กระอักเลือดตายในที่สุด

     อ้วนเสี้ยวเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องสาม
ก๊กนั้น เป็นคนที่โลเล หูเบา ชอบคนที่มาประจบ
สอพลอ แต่นั่นไม่เท่ากับความเขลาทึบและ
ไม่รู้จักยุทธวิธีการรบ(ไม่มีความรู้ด้านพิชัย
สงคราม) และยังประมาทศัตรูว่ามีกำลังน้อย
ทำให้เสียกลศึก

     อ้วนเสี้ยวกล้าตัดพ้อสวรรคอย่างคับแค้น
โดยที่ไม่มองตนเองว่าความวิบัติที่เกิดขึ้นนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของตนเองด้วย
เช่นกัน

     ภาษิตจีนมีคำกล่าวว่า "สามสิบลิขิตฟ้า
เจ็ดสิบต้องลงมือทำ" 

     คำกล่าวนี้ก็บ่งบอกอยู่ว่า ทุกสิ่งที่คนเราทำ
ไม่ว่าจะประสบ
ผลเช่นไร นั่นเกิดจากการกระทำของพวกเขา
เอง ไม่ได้เกิดจากลิขิตของสวรรค์ 

     การอ้างถึงสิ่งอื่นว่ามีอิทธิพลกับผลการ
กระทำนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะ
หนีพ้นจากการรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด
ขึ้นได้

      มีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่า "การใช้ชีวิตมีทาง
เดียวเท่านั้นคือ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา
เราเป็นผู้เลือกให้มันเกิดขึ้นกับเราเอง" 

     เหตุการณ์แบบที่เกิดกับอ้วนเสี้ยว เกิด
ขึ้นได้กับทุกคนและทุกสังคม มันเป็นเรื่อง
ปกติอย่างยิ่ง

     ในห้วงหนึ่งของชีวิตอาจมีหลาย เหตุการณ์
ที่คนเราจะไม่ยอมรับความจริงและไม่กล้า
เข้าไปรับผิดชอบผลของมัน โดยจะมีการ
กล่าวอ้างถึงสิ่งรอบกายที่คิดว่ามันควรจะ
มีอิทธิพลที่ทำให้เกิดผลนั้นๆ

     การยอมรับความจริง แม้ว่าจะทำให้เจ็บ
ปวด แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ใครก็
เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ การไม่ยอมรับกับ
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และการพยายาม
หนีจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้วนั้น มันจะ
ทำให้เราดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร

     การพยายามปลอบใจตนเองด้วยการ
กล่าวโทษสิ่งภายนอกและไม่ยอมรับกับ
ความเป็นจริงนั้น เป็นการหลีกเลี่ยงการ
เผชิญหน้ากับปัญหาที่ค้างคาอยู่ และ
ปัญหานี้มันจะตามหลอกหลอนสร้างความ
เจ็บปวดให้กับผู้เป็นเจ้าของ ทุกครั้งที่นึกถึง

     มันจะเป็นเหมือนภาพยนต์เรื่องสั้นๆที่
ตนเองจะเป็นตัวเอกที่น่าเวทนา มันจะฉาย
ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในใจของ
พวกเขาเอง และมันจะสร้างความเจ็บปวด
ที่มากขึ้นทุกครั้งที่นึกถึง

     คนเรามักเป็นเช่นนี้เอง ถ้าเขาไม่ยอมตัด
ใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหา ยอมรับ
ในสิ่งที่เกิดขึ้นและถือมันเป็นบทเรียนที่
หากว่าต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ
หรือเหตุการณ์ที่คล้ายๆกัน เราจะแก้ไข
ปัญหาได้อย่างไร 

     เหมือนดังเช่นอ้วนเสี้ยวที่แตกทัพและ
หลงกลโจโฉครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความไ
ม่รู้จักนำอดีตมาเป็นบทเรียน ในการแก้ไข
กลศึก การไม่ยอมรับว่าตนเองต้องทำการ
ปรับเปลี่ยนกลยุทธคิดแต่จะอาศัยพวก
มากเพียงอย่างเดียวทำให้อ้วนเสี้ยวพา
ชีวิตของคนเจ็ดแสนถึงกาลวิบัติไปพร้อมๆ
กัน

     ทำให้อ้วนเสี้ยวต้องพ่ายแพ้ให้กับโจโฉ
อย่างยับเยินทั้งที่มีกองทัพอันเกรียงไกร
แต่การไม่ยอมรับความจริงที่ว่า ตนนั้น
เขลากว่าและแพ้กลของโจโฉไปแล้ว และ
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองพ่ายแพ้อย่าง
ยับเยินจริงๆ

     อ้วนเสี้ยวกลับไม่กล้ายอมรับความจริง
และมันก็ทำให้ให้อ้วนเสี้ยวคิดเคียดแค้น
แน่นอกจนทนไม่ไหว ต้องกระอักเลือดและ
จบชีวิตลง หลังจากเอ่ยคำตัดพ้อสวรรค์
อย่างคนไม่ยอมรับความจริง
เป็นคำสุดท้ายว่า สวรรค์ช่วยโจโฉ ไม่ช่วยข้าฯ

     "สวรรค์นั้นจะช่วยผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น"        
                                                 

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

คนเราจะอ้วนหรือผอม อยู่ที่การตัดสินใจ

เชื่อหรือไม่ว่า คนเราจะอ้วนหรือผอม
อยู่ที่การตัดสินใจของเขา

     คนเราทุกคน ไม่ว่าจะทำสิ่งใด จะต้อง
มีการตัดสินใจที่จะทำทุกครั้ง โดยกระบวน
การของความคิดของมนุษย์ เขาจะวาดภาพ
สิ่งจะได้พบเจอและเขาจะตัดสินใจอย่างรวด
เร็วทุกครั้งที่จะทำมัน
   
     ไม่มีพฤติกรรมใดที่มนุษย์จะทำไปโดย
ไม่มีการตัดสินใจที่จะทำมัน

     ตัวอย่างเช่น เอ มีคอร์สต้องสัมมนาสามวัน
วันสุดท้ายก่อนการเริ่มสัมมนา เอคิดว่าเขาจะ
ไม่ไปสัมมนาทั้งสามวัน เขาจะใช้เวลาวันหนึ่ง
ไปทำธุระส่วนตัว

     เมื่อสัมมนาวันแรกผ่านไป เอลังเลใจเพราะ
เขาคิดว่าการสัมมนามันเยี่ยมมากและเขาไม่
อยากพลาดโอกาสที่จะได้ตักตวงความรู้ให้
ครบสามวัน

     ในวันที่สอง เอตัดสินใจไปสัมมนา แต่ใน
วันสุดท้ายนั้นเอง เอตื่นเช้าเพื่อเตรียมไปร่วม
งานสัมมนา แต่แล้วเขาก็ไม่ยอมขยับตัวเพื่อ
จะเดินทางไป เขาคิดว่า เขาจะไปทำธุระส่วน
ตัวดีกว่า แล้วในตอนสายๆของวันนั้นเอง เขา
ก็ไปทำธุระส่วนตัวโดยไม่ได้ไปสัมมนา

     นั่นเป็นเพราะเขาตัดสินใจอยู่แล้วว่าจะทำ
เช่นนี้ แล้วการตัดสินใจเกี่ยวอะไรกับการลด
ความอ้วนหรือการไม่ลดความอ้วน มีผู้คน
จำนวนมากที่อยากจะลดความอ้วน แต่เขา
ก็ทำไม่ได้ นั่นเป็นเพราะขาตัดสินใจที่จะไม่อ้วน

     เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการโฟคัสในสิ่งตนเอง
ต้องการด้วย เหมือนกับการที่เราต้องคิดบวก
(think positive) การคิดบวกคือการโฟคัส
ในสิ่งที่ดี เพื่อที่จะดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิต
 
          เช่นเดียวกัน เมื่อคนๆ
 หนึ่งบอกว่า เขาจะไม่อ้วน
 การสื่อสารกับตัวเองของเขา
 คือการที่เขากลัวจะอ้วน มัน
 เป็นการโฟคัสไปที่ความอ้วน
     
          กฎของการดึงดูดจะ

เริ่มทำงานของมัน ความอ้วนคือการตัดสินใจของ
เขาและมันจะทำให้ เขาคิดว่าเขาจะไม่ทำอะไร
เลยเพื่อให้น้ำหนักลดลงบ้าง

     นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะควบคุมการ
กินอาหารของเขาได้ และทุกครั้งที่เขากินของ
เอร็ดอร่อย เขาจะผลัดกับตัวเองว่า พรุ่งนี้ฉัน
ค่อยลดน้ำหนัก

     แต่เขาจะทำมันไม่ได้ และเขาก็จะยังคงอวบ
จัดเหมือนเดิม แล้วเขาก็จะพูดปลอบใจตัวเอง
ทุกครั้งว่า คนเรามันต้องกินนี่นะ จะให้มาอด
อยู่ได้อย่างไร ฉันทำไม่ได้หรอก

     แต่ถ้าคนๆหนึ่งบอกกับตัวเองว่า ฉันจะผอม
เขากำลังโฟคัสไปที่ความผอม มันทำให้เขา
ตัดสินใจที่จะเขาเริ่มคุมการกินอาหารของ
ตนเองและออกกำลังเพื่อเผาผลาญไขมันส่วน
เกินออกไป

     เขาจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย
อย่างเต็มใจ ระมัดระวังการกินบ้างเพื่อ
ควบคุมน้ำหนักของเขาไม่ให้พุ่งทะยาน
ขึ้นไป  น้ำหนักของเขาจะคงที่ และไม่มีการกลับไปอ้วนอีก

     แล้วคุณละ ตัดสินใจที่จะไม่อ้วนหรือ
ตัดสินใจที่จะผอม
     ตัดสินใจ และทำมันอย่างเต็มที่ ทำร้อย
เปอร์เซ็นต์เพราะผู้รู้กล่าวไว้ว่า "การทำไม่
เต็มร้อย มันคือความล้มเหลว"
 
                                                    S.Th

# รักทุกอย่างที่ทำ I love everything I do

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความจริงกับการมีศักดิ์ศรี


       ความจริงกับการมีศักดิ์ศรี

     หลายคนอาจเคยพบเจอความ
เจ็บปวดจากการถูกดูหมิ่นเหยียบ
ย่ำศักดิ์ศรี และบ่อยครั่งที่อาจจะ
รู้สึกเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี บางคน
เสพศักดิ์ศรี และเป็นเวลานานมากแล้วที่คนเรายึด
มั่นในศักดิ์ศรี "ยอมหักไม่ยอมงอ"

     ตามความหมายที่ราชบัณฑิตยสถานให้ไว้
ความหมายของศักดิ์ศรีนั้น สั้นมาก โดยศักดิ์
ศรีนั่น หมายถึง เกียรติศักดิ์ เช่นประพฤติตน
ไม่สมศักดิ์ศรี.

     ที่การให้ความหมายของคำว่าศักดิ์ศรีนั้น
มันสั้นๆเพียงเท่านี้ อาจเป็นเพราะว่า มันเป็น
เพียงสิ่งที่ผู้คนกล่าวอ้าง เพราะคิดว่ามันเป็น
สิ่งที่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์พึงจะมี อย่างน้อยๆมัน
ก็ทำให้หลายๆคนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้
แม้นว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกิน และสามารถ
ทำให้พระเอกนางเอกในบทละครบางเรื่อง
สามารถใช้ชีวิตที่ลำเค็ญไปด้วยกันได้ แม้ว่า
พระเอกจะถูกตัดขาดจากมรดกเจ้าคุณพ่อ
เพราะมาแต่งงานกับนางเอกก็ตาม

     แต่ในความเป็นจริงนั้น "ศักดิ์ศรี" เป็นนาม
ธรรมที่ผู้คนกล่าวอ้างถึงเท่านั้น ทุกคนเกิดมา
บนโลกใบนี้ มีคุณค่าเท่ากันหมด เพราะเรา
ต่างก็เป็นที่หนึ่งจากการแหวกว่ายในสายธาร
แห่งธรรมชาติเข้าไปพบที่พักพิงเพื่อสร้าง
สรรค์ตัวเราขึ้นมาบนโลกใบนี้ 

     คณค่านั้นคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์
ยืนด้วยสองเท้าที่เหมือนกัน มีลักษณะทาง
สรีระที่คล้ายๆกัน ไม่มีความแตกต่างในด้าน
คุณค่า แล้วศักดิศรีมาจากไหน?
   
     ศักดิ์ศรีก็มาจากการอุปโหลก การที่คนเรา
พยายามบอก กับตนเองว่า ตนนั้นมีสิ่งหนึ่งที่
ผู้คนต้องยอมรับ ตนนั้นเป็นผู้มีเกียรติ ใครก็
จะมาดูหมิ่นไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราดูดี
สามารถเชิดหน้าอยู่ได้ในวงสังคม

      มาลองดูตัวอย่างนี้กัน นาย ก ทำงานใน
บริษัทแห่งหนึ่งตำแหน่งของเขาคือหัวหน้า
แผนก เขาทำงานของเขาอย่างดีตลอดมา
คนในบริษัทเห็นความสามารถของเขา มัน
สร้างความภาคภูมิใจให้กับนาย ก อย่างมาก

     แต่วันดีคืนดี ผู้บริหารสั่งย้าย นาย ก มา
เป็นหัวหน้าแผนกจัดซื้อ มันเป็นแผนกที่ไร้
ความหมายที่สุดในสายตาของคนในบริษัท
รวมถึงตัวนาย ก เองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน

     ถ้าสิ่งที่นาย ก คิดในเวลานั้นคือ ศักดิ์ศรี
ของเขามันพังยับเยิน เขาอาย ไม่อยากเจอ
หน้าผู้คน นาย ก จะหงุดหงิดอารมณ์เสีย
ตลอดเวลา เขาอาจจะเริ่มเกลียดงานใหม่
ของตนเอง ความภาคภูมิใจที่เคยมีจะหายไป
และเมื่อนั้นเขาอาจจะรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ล้ม
เหลวและไร้ค่า

     ใครที่มาแสดงความเห็นใจ ไม่ว่าจะวิจารณ์
เข้าข้างเขาอย่างไร ก็อาจจะทำให้เขารู้สึก
เป็นปฏิปักษ์และเกลียดชัง เพราะเขาอาจจะ
ตีความว่าเป็นการเยาะเย้ยถึงความตกต่ำของ
เขามันเป็นการซ้ำเติมและเหยียบย่ำศักดิ์ศรี
ของเขาจนรับไม่ได้

     ในเรื่องนี้ ด๊อคเตอร์ เดวิด เจ. ไลเบอร์แมน
ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา (หนังสือ Make
Peace With Anyone ) ว่า ศักดิ์ศรี เป็นสิ่ง
เดียวในตัวเรา ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดกับการ
วิจารณ์ ความจริงไม่เคยต้องการเกราะป้องกัน
มีเพียงศักดิ์ศรีเท่านั่นที่ต้องการเกราะป้องกัน
ไม่ให้โลกภายนอกมองเราไปในทางที่ไม่ดี

     ในทางกลับกัน นาย ก นั้นครั้งแรกอาจจะ
รู้สึกว่า ศักดิ์ศรีของเขามันพังยับเยิน แต่ในเมื่อ
เขาถูกย้ายงานมาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว เขาต้อง
ทำใจให้ได้และยอมรับความจริงให้ได้ว่า งาน
ในตำแหน่งนี้เป็นของเขา

     หากไม่พอใจกับงานจริงๆเขาอาจจะลาออก
ไป แต่ถ้าเขาเห็นว่ามันยังเป็นงานอย่างหนึ่ง
แม้ว่าคนอื่นจะมองว่าศักดิ์ศรีของเขาลดลง แต่
ในความเป็นจริง ใครๆก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขา
ต้อยต่ำลงไปได้ ถ้าเขาไม่อนุญาตให้คนอื่นทำ
เช่นนั้น

     หากว่านาย ก มีความนับถือตัวเองมากพอ
การที่ผู้บริหารย้ายเขาไปทำงานในแผนกที่
เขาคิดว่าด้อยค่านั้น  มันไม่ได้กระทบกระเทือน
ถึงความสามารถที่เขามีอยู่แล้ว และไม่ว่า
จะเป็นงานแบบไหนเขาก็จะทำมันให้ดีที่สุด 

     นาย ก ก็จะไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
เขาจะไม่สะเทือนใจไปกับการแสดงความ
เห็นอกเห็นใจหรือการวิพากษ์วิจารณ์จาก
คนอื่นๆ "เขา"  ณ เวลานี้ เป็นอย่างนี้ เป็น
อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปเป็นอย่างอื่นได้

     หากเขาไม่มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็นอยู่
ในเวลานี้ เขาจะดำรงตนอยู่ต่อไปอย่างไร?

     ถ้าพอใจในสิ่งที่มี ดีใจในสิ่งที่เป็น อยู่กับ
ความเป็นจริง ใครจะมองอย่างไร ไหนเลย
จะทำให้ศักดิ์ศรีของเราด้อยลงได้

                                         

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

เราเป็นในสิ่งที่เราคิด เราไม่ได้เป็นในสิ่งที่คนอื่นตัดสิน



     การที่คนเราจะเป็นในสิ่งต่างๆได้เกิด
จากการที่คนๆนั้นตัดสินใจที่จะเป็นใน
ช่วงระยะเวลาสั้นๆของการแสดง
พฤติกรรมต่างๆ จะเกิดจากอารมณ์ของ
คนผู้นั้นที่มีต่อสถานการณ์นั้นๆที่เกิดขึ้น
ในเวลานั้น และการตัดสินใจที่จะเลือก
แสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสถานการณ์
นั้นๆ

     ในวงจรชีวิตระยะยาว การสั่งสมประสบ
การณ์จากการตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา
การที่ได้รับการอบรมสั่งสอนทั้งจากครอบ
ครัวและจากการมีการปะทะสังสรร
(inter active) ระหว่างกันระหว่างคนต่อคน
ตลอดจนความรู้และประสบการณ์ ทำให้
ผู้คนแสดงปฎิกิริยาตอบโต้ต่อสถานการณ์
ในบริบทที่เหมือนกันด้วยท่าทางและความ
รู้สึกที่ต่างกัน

     ในสังคมปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่ชอบที่จะ
ตัดสินคนอื่น พวกเขามักจะใช้ความรู้และ
ประสบการณ์ของพวกเขา มองผู้คนรอบข้าง
และตัดสินพิพากษาคนอื่นโดยที่เขาเองก็
ไม่รู้ตัว

     เคยมีโฆษณาสินค้าในโทรทัศน์ตัวหนึ่ง
แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ด้วยการนำพรีเซ็นเตอร์
ที่หน้าตาดุมาก คนส่วนใหญ่จะตัดสินคนผู้นั้น
ก่อนว่าต้องเป็นคนที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เขาคน
นั้นจะต้องเป็นคนโหดเหี้ยมดุดัน แต่โฆษณา
เรื่องนั้นก็หักมุมให้เห็นว่า รูปลักษณ์ภายนอก
ไม่ใช่ตัวตัวตัดสินว่าใครจะเป็นอย่างไร การ
กระทำของคนผู้นั้นต่างหากเป็นสิ่งที่บ่งบอก
ว่าเขาเป็นคนอย่างไร

     การคาดการณ์ว่าคนๆหนึ่งต้องเป็นอย่าง
นั้นอย่างนี้ตามสถิติหรือความน่าจำเป็นที่เขา
คนนั้นจะเป็นได้ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ
การตัดสินคนอื่น เช่นการที่เห็นคนผู้หนึ่งกิน
อาหารขยะอยู่ ก็บอกออกมาทันทีว่า เขาผู้นั้น
ต้องอ้วนจนเกินพิกัด เขาจะต้องเป็นโรคตาย
จากการกินอาหารของเขา

     นี่เป็นการตัดสืนคนอื่นโดยที่ตนเองไม่เคย
รู้ว่าประวัติความเป็นมาหรือการปฎิบัติตนใน
การดำรงชีวิตของคนอื่นเป็นอย่างไร ทุกอย่าง
เป็นการใช้ประสบการณ์ของตนที่มี นำมาตัดสิน
คนอื่นทั้งสิ้น

     เพราะความจริงแล้ว คนผู้นั้นอาจจะมีความ
จำเป็นต้องกินอาหารขยะในเวลานั้น เขาอาจ
ไม่เคยมีพฤติกรรมการชอบกินอาหารขยะ
อีกทั้งเขายังเป็นผู้รักการออกกำลังกายอย่าง
ยิ่งอีกด้วย เพราะฉะนั้น โรคไขมันจุกอกอาจจะ
ห่างไกลจากคนผู้นั้นมากๆก็ได้

     แต่หนึ่งสิ่งที่ย่ำแย่กว่าการที่โดนคนอื่นตัดสิน
พิพากษา ก็คือการตัดสินพิพากษาตัวเอง ซึ่งคน
เรามักมีแนวโน้มที่จะลงแส้ฟาดโบยตัวเองให้
เจ็บปวดได้อย่างน่าแปลกใจ ความจริงเสียงพูด
จากคนอื่นจะมีอิทธิพลต่อตัวเราน้อยมาก เพราะ
เรามีหู มีประสาทที่สามารถปิดกั้นไม่ให้สนใจ
เสียงทุกเสียงที่ได้ยินได้ฟังได้

     แต่บางครั้งเมื่อได้ยินบางสิ่ง ตัวเราเองกลับ
ดึงมันเก็บไว้ในสมองเพื่อที่จะเอามาพูดตอกย้ำ
ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น หากเราได้ฟังคนแอบ
พูดนินทาว่าเราพุงยุ้ยมีไขมันสะสมจนน่าเกลียด

     เราอาจนึกขำคำพูดนั้น เราอาจไม่เก็บมาใส่
ใจเพราะเรามั่นใจในตัวเองว่าเจ้าก้อนไขมันที่
แสนน่าเกลียดนั่นไม่มีทางจะมาอยู่ที่ตัวเราได้
เพราะเราคุมอาหารและเพราะเราออกกำลัง
กายอย่างสม่ำเสมอ
   
     แต่ก็เป็นไปได้ถ้าเราเป็นคนที่รักตัวเองน้อย
เกินไป เราก็อาจเก็บคำพูดนั้นมาบอกย้ำกับตัวเอง
 เราอาจคอยส่องกระจกมองหาก้อนไขมันที่ทำ
ให้คนอื่นเห็นว่ามันย้วยออกมาจนน่าเกลียดก้อน
นั้น เราอาจจะพูดกับตัวเองทุกครั้งที่ส่องกระจกว่า
พุงฉันย้วยขนาดนี้เลยเหรอ?

     แล้วเราก็จะเริ่มเห็นว่าเขาพูดถูกจริงๆ ฉันมี
พุงย้อยน่าเกลียดมาก แล้วเราก็จะเพ่งมองที่พุง
ของเราทุกครั้งและตำหนิว่ามันมีก้อนไขมันที่น่า
รังเกียจ ทำให้เราดูน่าเกลียด วันแล้ววันเล่า ที่
เราฟาดโบยตัวเองจากการที่คนอื่นตัดสินเรา

     นั่นเป็นการที่เราตัดสินตัวเองว่า "เราเป็นคน
ที่มีพุงย้วย น่าเกลียด" ถึงจะดูแลรักษาหุ่นอย่างไร
มันก็จะไม่ดีขึ้น เราโฟคัสไปที่ความอ้วน แล้วในที่
สุดเราก็จะได้ความอ้วนมาเป็นของเรา

     นี่คือตัวอย่างที่เราตัดสินพิพากษาตัวเองตาม
คำพูดของคนอื่น 

     ตัดสินใจด้วยตัวเองดีกว่า ว่าเราจะเป็นคน
อย่างไร เราไม่ต้องให้คนอื่นมาตัดสินแทนว่า
เราจะต้องเป็นอย่างไร และเราก็จะไม่ตัดสิน
คนอื่นก่อนเช่นกันว่าเขาจะเป็นอย่างไร ไม่มี
ใครรู้จักคนอื่นดีไปกว่าตัวของเขาเองและ
แน่นอนที่สุดว่า

     "ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีไปกว่าตัวของเราเองอีกแล้ว"

           

                                         

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เป็นอย่างที่มี พอใจในสิ่งที่เป็น



     ในโลกใบนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน
เปรียบเทียบ  มีทั้งแข่งกีฬา แข่งกันมี
เงินมากๆ แข่งกันมีลูกดีๆ

แม้กระทั่งแข่งกันว่าใครจะมีคู่นอนมาก
กว่ากัน  แข่งกันตามความพอใจแล้วแต่
จะหยิบยกขึ้นมาว่าอะไรจะเป็นหัวข้อใน
การแข่งขัน

    คนเราแข่งกีฬา เพราะเกิดจากการ
เปรียบเทียบความแข็งแกร่งและทักษะ
ในการใช้ร่างกายในเวลาที่ทำกิจกรรม
เพื่อออกกำลัง

     คนเราแข่งกันมีเงินมากๆ ก็เพราะ
อยากเปรียบเทียบว่าใครมีเงินหรือทำ
เงินได้มากกว่าใคร การแข่งขันส่วน
ใหญมักจะมีสาเหตุมาจากการเปรียบ
เทียบ คนเราชอบการเปรียบเทียบทั้ง
เรื่องที่มีประโยชน์และรื่องที่ไม่มีสาระ

     การเปรียบเทียบเพื่อแข่งขันกันด้าน
สุขภาพร่างกายเช่นการแข่งกีฬายังถือ
ได้ว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างหนึ่ง
หากมันช่วยสร้างสุขภาพที่ดี ช่วยสร้าง
ให้ยอมรับตนเองและเป็นพลังใจ ผลักดัน
ให้มีการฝึกฝน พัฒนาความสามารถให้
สูงขึ้น

     แต่การเปรียบเทียบเพื่อเหยียบย่ำ
ตัวเองลงให้ต้อยต่ำอย่างในหนังในละคร  
ที่บางเรื่องได้เคยดูผ่านสายตา เหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาๆที่เห็นกันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว
   
     มีคนมากน้อยเท่าไหร่ที่รู้สึกมีความ
สุขจากการเปรียบเทียบ?
   
     หากเรื่องที่เปรียบเทียบเป็นเรื่องที่
นำมาซึ่งความสุข การเปรียบเทียบก็จะ
มีความสุข

แต่น่าประหลาดที่คนเรากลับชอบเปรียบ
เทียบให้ตัวเองดูแย่ หากเราจะเปลี่ยนแนว
ของการเปรียบเทียบระหว่างสองประโยค
ที่ว่า

"ดูสิหมอนี่มีเมียแล้วยังเปลี่ยนผู้หญิงควง
ทุกวันไม่ซ้ำหน้า ข้ามันแย่มีเมียคนเดียวก็
จอดป้าย หมดน้ำยา"  กับ
 "ดูหมอนั่นสิมีเมียแล้วยังเปลี่ยนผู้หญิง
ควงทุกวันไม่ซ้ำหน้า เทียบกับตูข้าแล้วข้า
เจ๋งกว่าที่มีเมียที่รักเพียงคนเดียว"

     หรือหากเราจะเปลี่ยนจากการเปรียบ
เทียบว่า "ใช่สิ เธอมันรวยนี่นางเธอเกิดมา
มีทุกอย่าง (ในละครนางอาย)แต่ฉันมันแย่
ไม่มีอะไรซักอย่าง"  กับ
     "ใช่สิเธอมันรวยนี่ เกิดมามีทุกอย่างแต่ฉัน
เยี่ยมกว่าเธอนะ  เพราะฉันมีคนอุปการะเรียน
จนจบ เธอคิดว่าจะมีคนบนโลกสักกี่คนเหรอ
ที่จะโชคดีอย่างฉัน"

      เวลาที่พูดเปรียบเทียบอย่างนี้ หลายคน
อาจจะหัวเราะขบขัน คิดว่าเป็นเรื่องติงต๊อง
เหลือเกินที่มานั่งเยินยอตัวเอง แต่ในความ
ติงต๊องนั้น มันซุกซ่อนด้วยสิ่งที่สามารถ
จรรโลงชีวิตของตนเองให้มีความสุขได้
มากกว่า

     จึงเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนกระ
บวนการทางความคิดของตนเองนิดหน่อย
เพื่อสร้างความสุขในชีวิต

     เราจะเหยียบย่ำตัวเองเพื่อดึงความรู้สึก
ตัวเองให้ต้อยต่ำไปอีกนานเท่าไหร่? เราจะ
เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นด้วยคำพูดตำหนิ
ตัวเองไปทำไม?

     ที่จริงแล้วเราทุกคนเกิดมาเป็นหนึ่งเดียว
ที่ยอดเยี่ยม  (unique)  เราไม่ต้องการเอา
ตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรอก

      ไม่เปรียบเทียบ ไม่เจ็บปวด หรือควรจะ
พูดอีกอย่างหนึ่งให้ดีกว่านี้ก็คือ 

     "พอใจในสิ่งที่เรามี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น 
แล้วความสุขจะอยู่รอบตัวเรา"

      ใช่แล้ว มันต้องยอดเยี่ยมมากกว่ากันแน่ๆ 😁😁😁